เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 3 เม.ย. 2560 ที่ สตูดิโอ จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ย่านอโศก ‘บอย’ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีโทรทัศน์ช่องวัน 31 หรือผู้กำกับชื่อดัง เดินทางมาออกรายการสด ‘เที่ยงรายวัน’ โดยมี “ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์” เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมเปิดใจครั้งแรกหลังมีคลิปที่ตนและบุตรสาวคนโต โดนคนขับแท็กซี่ข่มขู่หลังโบกแล้วไม่ไป จนคนขับลงมาให้ไหว้รถและชดใช้เงิน 1,000 บาท จนเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล

 

โดย บอย เผยว่า “เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นวันเสาร์ที่ 1 เม.ย. ประมาณ 1 ทุ่ม ตรงสุขุมวิท33 และอยู่กับลูกคนสาวคนโต เพิ่งกลับจากดูหนังที่เอ็มโพเรียม ซึ่งตรงนั้นถ้าเราจะกลับบ้านเราต้องเดินย้อนทางรถ ผมก็บอกลูกสาวว่าเดี๋ยวเราเรียกอูเบอร์ก็ได้ แค่ลูกสาวผมบอกว่าอูเบอร์มันผิดกฎหมายนะ ผมเลยไม่เรียก จริงๆ ผมมีทางเลือกว่าจะกลับบ้านยังไงแต่ลูกสาวบอกมันผิดกฎหมาย เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ แต่ปรากฎว่ามาเจอเคสที่คนกรุงเทพฯ เจอกันบ่อยๆ คือเรียกแล้วไม่ไป มีคันนึงผ่านมาแล้วเรียกผมบอกจะไปบ้านที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ แต่เขาบอกไม่ไป เราก็ไม่เป็นไร แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสังคมกันอยู่ ทำไมคุณที่ทำอาชีพนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่ดีของสิ่งนี้อยู่ และเจออีกคันนึงเขากำลังเลี้ยวออกจากซ.สุขุมวิท 33 คือคันนี้เป็นคันคู่กรณี ผมก็โบกแต่เขาไม่จอดขับผ่านไปเลย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นการโกรธ และเป็นสิ่งที่เราอึดอัดมาสักพักนึงแล้ว”

“ผมตั้งใจจะเรียกให้เขาหยุด แต่ผมอาจจะบันดาลโทสะไปนิดนึง ซึ่งผมก็ยอมรับผิด คือผมพยายามจะเรียกแต่ใช้มือไม่ได้เพราะมือมันใกล้กับตัว เดี๋ยวรถจะชน ผมจึงใช้เท้าเพื่อที่จะสะกิดเรียก ซึ่งสิ่งนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่จะแรงหรือไม่แรงผมก็ไม่ตั้งใจ เพราะผมแค่อยากให้รถหยุด กลายเป็นว่าผมไปเตะรถเขา เขาก็จอด และพอเขาจอดผมก็เปิดประตูเข้าไปนั่งเพื่อใช้บริการ แต่ระหว่างนั้นเขาเปิดประตูเดินอ้อมมาทางผมด้วยสีหน้าที่โกรธมาก และเกิดการถกเถียงกันอย่างที่เห็นในคลิป ว่ามาทุบรถผมทำไม ผมก็บอกแล้วทำไมคุณไม่จอดเพราะไฟก็เปิดว่างอยู่ เขาก็บอกว่า ผมอาจจะกำลังไปรับผู้โดยสารท่านอื่นก็ได้คุณจะไปรู้ได้ยังไง ซึ่งผมก็บอกต่อไปว่า งั้นคุณก็ควรจะปิดไฟว่าง และเราก็ถกเถียงกันอยู่สักพัก จึงมีประโยคนึงจากคนขับแท็กซี่คันนั้นว่า มายิงกันสักนัดมั้ย และเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันแรงไปเพราะลูกสาวผมก็อยู่ตรงนั้น ลูกผมบอกว่า พ่อไปเถอะ”

 

ทำไมตอนนั้นผมถึงยังไม่ไปจากตรงนั้น
“คือผมก็รู้สึกมีส่วนผิดที่ไปทำร้ายเขา เพราะเขาบอกมาว่า รถใคร ใครก็รัก ของใครใครก็รัก แต่พอเขาพูดว่ามายิงกันสักนัดมั้ย ผมก็บอกว่าผมขอโทษเพราะยังไงชีวิตลูกผมสำคัญที่สุด แต่เขาก็บอกว่างั้นไหว้สิ ผมก็ไหว้นะแต่ในคลิปไม่เห็นเพราะกล้องแพนไปที่ทะเบียนรถ คือผมก็ไหว้เพราะหน้าลูก หน้าภรรยาลอยเข้ามาในหัวผมเต็มไปหมด เลยคิดว่าผมก็เป็นต้นเหตุเหมือนกัน ผมจึงเสนอเขาว่าจะให้ผมชดใช้เท่าไหร่ นี้เป็นสิ่งที่โซเชียลกล่าวโทษแท็กซี่คันนั้นเกินกว่าเหตุเพราะจริงๆ ผมเป็นคนเสนอเอง โดยที่เขาไม่ได้เรียกร้องก่อน และเขาก็บอก 1,000 บาท ผมเลยให้ไปและเขาก็ขับรถออกไป”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ติดใจอะไรไหม “ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมก็เข้าใจว่าการที่เขาขับรถมาอยู่ดีๆ มีคนมาทำแบบนั้นกับรถเขา เขาก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่เราต้องแยกทีละประเด็น คือเขาเปิดไฟว่างแต่เขาไม่รับ ซึ่งมีกรณีแบบนี้ในหลายๆ คัน การที่ผมไปทำลายทรัพย์สินเขา ผมก็เสนอว่าจะชดใช้ ผมว่าตรงนั้นก็จบกันไปเพราะเขาเรียกร้องมาเท่านั้น แต่มันมีประเด็นนึงที่เขาพูดว่า มายิงกันสักนัดไหม คือเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกเกินกว่าเหตุและมีเด็กอยู่ตรงนั้นด้วย แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นใหญ่กว่าบอย-ถกลเกียรติ ทะเลาะแท็กซี่ นั้นคือผมคิดว่าทั้งผมและคนขับแท็กซี่คันนั้นเป็นเหยื่อของระบบ เพราะจริงๆ ทุกวันนี้เรามีทางเลือกที่จะใช้บริการอะไรก็ได้แต่กฎหมายกำลังจำกัดทางเลือกของประชาชน”

 

“จริงๆ ผมมีวิธีเลือกใช้บริการเยอะทั้งนั่งวิน ออนไลน์เรียกรถ แต่วันนั้นผมไปกับลูก ของก็เยอะไม่สามารถนั่งมอเตอร์ไซค์ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะตั้งคำถามคือ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ ตัวเลือกเรามีอยู่แล้วแต่กฎหมายกำลังจำกัดตัวเลือกเรา อย่างเหตุการณ์นี้ผมไม่อยากจะเอาเรื่อง เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ในเชิงกฎหมายคือถ้าจะให้ถูกต้อง ผมต้องลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นประวัติเอาไว้ว่ามีกรณีนี้ขึ้น แต่คงไม่ถึงขั้นแจ้งความ จริงๆ ผมอยากจะขอโทษคนขับแท็กซี่คนนั้นด้วยซ้ำเพราะผมก็มีส่วนผิด และบันดาลโทสะผมก็เป็นคนเริ่ม ตรงนี้ผมต้องขอโทษในสิ่งที่ทำ แต่มันต้องแยกแยะนะครับว่าคุณเปิดไฟว่าง” บอยกล่าว
ซึ่งระหว่างแถลงข่าวนั้น ได้มีการเปิดคลิปวิดีโอบางส่วนในส่วนของแท็กซี่คู่กรณี คือ นายรุ่งนคร ดลกุล อายุ 40 ปี ที่เปิดเผยว่า “ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมจอดไม่ได้ ผมไม่รู้หรอกว่า 2 คันก่อนหน้านั้น ที่คุณเรียกมีอะไรบ้าง แต่เรารักทรัพย์สินของเรา ถ้ามีใครมาทำลายทรัพย์สินเราต้องปกป้อง และเงิน 1 พันบาทคุณบอย เสนอขึ้นมาเอง ผมไม่ได้เรียกร้อง และยืนยันว่าไม่ได้ข่มขู่ผู้โดยสาร แต่พูดว่า “ถ้าคุณทำอย่างนี้ ยิงผมเลยดีกว่า” ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้มันขึ้นอยู่กับบุคคลคนที่ 3 ที่เป็นคนโพสต์ และรายละเอียดที่ออกมาเป็นความผิด ที่ผิดเพี้ยน ถ้าอยากรู้ความจริง ต้องเอาผมกับคุณบอยมานั่งคุยกันทั้งคู่” นายรุ่งนครกล่าว

หลังจบคลิป ผู้กำกับชื่อดัง กล่าวว่า “ผมว่าเราพูดตรงกัน ผมก็ขอโทษเหมือนกัน ผมก็เห็นใจนะครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าเราเป็นเหยื่อของระบบ”

 

ความรู้สึกจริงๆ ตอนนั้นที่เรียกแล้วเขาไม่ยอมไปโกรธใช่ไหม
“อันนั้นโกรธสิครับถ้าไม่ยอมไป แต่จริงๆ ในความโกรธ ผมเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ผมเปิดประตูกำลังจะไปใช้บริการ เขาเดินออกมา ผมกำลังจะขึ้นแต่เขาเดินออกมาก็คิดว่า เฮ้ย ซวยแล้ว (หัวเราะ)”

 

ตอนนั้นน้องมีร้องไห้ด้วย
“ครับ ลูกบอกพ่อไปเถอะ พ่อไปเถอะ พูดอยู่2-3รอบ สงสารมากตรงนั้นเพราะมีความน่ากลัวอยู่”
ทำไมถึงตัดสินใจจะขึ้นคันนี้ให้ได้

 

“ไม่ใช่ว่าขึ้นคันนี้ให้ได้ ถ้าใครรู้จักผมดีจะรู้ว่าผมเป็นคนที่หลักการมาก่อน คุณทำอาชีพตรงนี้ถ้าขึ้นไฟว่างคุณต้องรับ ถ้าไม่งั้นคุณต้องปิดไฟ สำหรับผมจะหงุดหงิดเรื่องหลักการแล้วจะมาออกในประเด็นแต่ละเคสไป ส่วนที่ว่าตรงนั้นเป็นเส้นขาวแดงห้ามจอด คือไม่ทันเห็นครับ”

 

ที่พูดไม่ตรงกัน แท็กซี่บอกว่าเอาปืนมายิงกันเลยดีกว่า แต่คุณบอยคิดว่าเขาเอาปืนมายิง แบบนี้เรียกการสื่อสารผิดพลาดใช่ไหม
“ณ เวลานั้น ภาษาไทยเวลาเราพูดคือมันไม่มีประธานไม่มีกรรม การที่บอกว่ามายิงกันสักนัดไหม เราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือประธาน อะไรคือกรรม (หัวเราะ)”

 

หลังจากนี้จะดำเนินการยังไง
“ผมคงต้องลงบันทึกประจำวันไว้ คงให้ทีมงานไป แต่จริงๆ คือไม่ได้ต้องการที่จะสานต่ออะไรเลย ถ้ามันไม่มีเป็นเรื่องเป็นราวที่ออกมาในโลกออนไลน์มันก็จบแล้ว”

 

ฝากบอกอะไรกับคนขับแท็กซี่ไหม
“ผมก็ต้องขอโทษที่ผมก็มีความโมโหแล้วไปทำร้ายทรัพย์สินตรงนั้นครับ มันก็เป็นบทเรียนกันทั้งหมด แต่สิ่งที่เป็นประเด็นใหญ่กว่านั้น มันไม่ใช่แค่บทเรียนของผมและแท็กซี่ แต่มันเป็นบทเรียนของระบบที่ในเมื่อเรามีตัวเลือกเยอะแยะ ทำไมต้องจำกัดตัวเลือกเรา หลังจากนี้ก็คงไม่เลิกขึ้นแท็กซี่ พูดตรงๆ นะครับผมเจอกรณีที่แท็กซี่ไม่รับน้อยมากต่างกับคนอื่น เพียงแต่เราก็ได้อ่านมาเยอะ ได้รับข่าวสารมาเยอะมันเป็นอย่างนี้ เป็นประเด็นใหญ่ของสังคมอยู่ในขณะนี้ แล้วทำไมเรายังต้องมาเจอแบบนี้อีกในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผู้คนจับตามอง และทำให้อาชีพที่คุณทำอยู่หมดความน่าเชื่อถือ”

 

คิดว่าจะเป็นแกนนำจุดกระแสเรื่องอูเบอร์กลับมาใช้งานได้ไหม
“ผมไม่ได้มีหน้าที่ที่จะทำตรงนั้น ผมแค่เป็นหนึ่งเสียงที่อยากฝากไปถึงผู้ที่รับผิดชอบที่จะทำให้กฎหมายมันเปลี่ยนแปลง”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน