ปัญหาสิ่งแวดล้อมและข่าวคราวจำนวนพื้นที่ป่าลดลงอย่างน่าใจหาย ไม่ว่าจะด้วยจากฝีมือมนุษย์ หรือแม้กระทั่งภัยธรรมชาติ ทั้งหมดหทั้งมวลล้วนสร้างความเสียหายต่อโลกใบนี้ จนอาจเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่โลกถูกทำร้ายมากที่สุดก็ว่าได้

จำนวนพื้นที่ป่าที่ลดลงนั้นส่งผลต่อทรัพยากรน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉพาะในประเทศไทยมีข้อมูลว่าป่าต้นน้ำในประเทศไทยเหลือเพียง 56 ล้านไร่เศษ ตัวเลขหลักสิบล้านเหมือนจะมาก แต่ถ้าเทียบกับพื้นที่ทั้งประเทศ เท่ากับมีพื้นที่ป่าเพียง 17 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น วิกฤตการณ์พื้นที่ป่าลดฮวบจึงต้องได้รับการแก้ไข โดยเติมส่วนที่ขาดให้ได้มากที่สุด

กรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่ทำงานเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำโดยตรง จึงมีนโยบายและโครงการมากมายเพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำ อาทิ การร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงกรมป่าไม้ จัดกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสสำคัญต่างๆ ส่วนมากกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทำลายป่าและปลูกป่าเสริม แก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

นอกจากโครงการปลูกป่าจะทำได้โดยกรมชลประทานลงมือได้ทันที แต่การปลูกป่าที่ได้ผลดีจึงไม่ใช่แค่การนำพันธุ์ไม้ไปลงดิน ยังต้องเข้าถึงคนรอบป่าด้วย อย่างที่รู้กันดีว่าชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ป่าหรือละแวกใกล้เคียงได้ใช้ประโยชน์จากป่าทั้งภาคเกษตรกรรมไปจนถึงการดำรงชีวิต การสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและชาวบ้านในพื้นที่ เปรียบได้กับการสร้างเกราะคุ้มกันที่แข็งแรงโดยมีคนในพื้นที่คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าการปลูกต้นไม้ให้เป็นพื้นที่ป่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เวลาและขั้นตอนมากมายตั้งแต่การเก็บข้อมูล ศึกษาวิจัย และลงมือปฏิบัติ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 66 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร กรมชลประทานก็ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เดินหน้าจัดโครงการปลูกป่าประชารัฐ ฟื้นฟูต้นน้ำยม ปีที่ 3 เพื่อพลิกฟื้นผืนป่าบริเวณลำน้ำยมซึ่งพบปัญหาสะสมมาตลอด

นายมหิทธิ์ วงศ์ษา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ 2 สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวว่า “พื้นที่ดังกล่าวในฤดูฝนมักจะเกิดอุทกภัย แต่ฤดูแล้งกลับขาดแคลนน้ำทั้งการทำเกษตรและการอุปโภคบริโภค แม้จะมีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำแล้ว 87 โครงการ แต่กักเก็บน้ำได้เพียง 12.25 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำเหลือไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างมากถึง 904.9 ล้าน ลบ.ม. แต่กลับมีพื้นที่ได้ประโยชน์เพียง 94,000 กว่าไร่ กรมชลประทานจึงได้ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในอำเภอเชียงม่วน ความจุ 90.50 ล้าน ลบ.ม. ผลที่ได้คือมีน้ำส่งไปยังพื้นที่เกษตรกรรมอย่างทั่วถึงและเพียงพอ”

ถึงการปลูกป่าจะไม่ได้คืนผืนป่าให้กลับมาเขียวขจีในชั่วพริบตา แต่จุดเริ่มต้นที่หน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำอย่างชลประทานทำมาอย่างสม่ำเสมอ เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านไปทั่วบริเวณ รอวันเติบโตเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นต้นน้ำให้คนตั้งแต่ต้นจนปลายน้ำได้ดื่มกินหล่อเลี้ยงชีวิต

“นอกจากนี้ยังมีอ่างเก็บน้ำ ฝาย แก้มลิง อีกหลายแหล่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำและลดปัญหาน้ำท่วม แต่สิ่งสำคัญที่อุ้มชูกันอยู่คือผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ คือ เมื่อเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำ ต้องฟื้นฟูป่าต้นน้ำด้วย รวมถึงการรณรงค์ให้ชาวบ้านรักและหวงแหนป่าต้นน้ำ มีจิตสำนึกร่วมกันที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติเอาไว้” นายมหิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม

บทบาทหน้าที่ของกรมชลประทานจึงไม่ใช่แค่การจัดการทรัพยากรน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอนุรักษ์ผืนที่ป่าให้ลูกหลานได้มีอากาศดี สัตว์ป่าได้มีที่อยู่อาศัย มีแหล่งอาหาร และโลกนี้ได้มีความสมดุล

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน