คอลัมน์ อริยะโลกที่6

“พระเทพมงคลรังษี” หรือ “หลวงปู่ดี พุทธโชติ” อดีตเจ้าอาวาสวัดเหนือ (วัดเทวสังฆาราม) ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี พระเกจิอีกรูปหนึ่งที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากชาวเมืองกาญจน์

ท่านเกิดที่บ้านทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2416 บิดามารดา ชื่อ นายเทศ-นางจันทร์ เอกฉันท์

บวชเป็นสามเณรในปี พ.ศ.2434 ณ วัดทุ่งสมอ มีพระอธิการรอด วัดทุ่งสมอ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของท่านเป็นพระอุปัชฌาย์

ศึกษาร่ำเรียนได้ 6 เดือน ก็ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดาทำนา จนอายุครบบวช จึงอุปสมบท ณ วัดทุ่งสมอ มี พระครูวิสุทธิรังษี (หลวงปู่ช้าง) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการรอด และ พระใบฎีีกาเปลี่ยน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา “พุทธโชติ”

จำพรรษาที่วัดทุ่งสมอ ใฝ่ศึกษาเล่าเรียนทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ มีความชอบเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการสวดปาติโมกข์ จึงมีความมานะพยายาม จนที่สุด สามารถท่องปาฏิโมกข์ได้จบบริบูรณ์ในพรรษาที่ 2

ช่วงออกพรรษามักธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ศึกษาวิปัสสนาและวิทยาคมกับพระเกจิดัง อาทิ พระอาจารย์เกิด วัดกกตาล นครชัยศรี, หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว ฯลฯ

มีโอกาสเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จำพรรษาที่วัดรังษีถึง 2 ครั้ง เพื่อเรียนภาษาบาลี แต่ก็ไม่ได้เรียน กลับไปเรียนปาติโมกข์แปลแทน ท่านมีความสามารถในเรื่องสวดมนต์และท่องปาติโมกข์จนได้รับคำชมเชยเป็นอันมาก

ชะตาผกผัน ในพรรษาที่ 12 ที่หลวงปู่ดีมาจำพรรษาที่วัดรังษี ครั้งที่ 2 นั้น ท่านพบพระครูสิงคิบุราคณาจารย์ (หลวงพ่อสุด) เจ้าอาวาสวัดเหนือ ซึ่งรู้จักกันมาก่อนในครั้งที่ญาติโยมนิมนต์ให้ไปสวดที่วัดใต้

หลวงพ่อสุด ทำหนังสือเดินทางเพื่อไปนมัสการพระเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า หลวงปู่จึงขออนุญาตเดินทางไปด้วย ตลอดทางทั้งไปและกลับ หลวงพ่อสุดเกิดอาพาธ ซึ่งหลวงปู่ดี คอยปรนนิบัติดูแลจนกลับถึงวัดเหนือ หลวงพ่อสุด ยังปรารภว่า “ถ้าไม่ได้หลวงปู่ดีไปด้วยกัน ท่านก็คงมรณภาพเสียที่กลางทางเป็นแน่”

หลวงปู่ดี กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ดังเดิม แต่ก็มีจดหมายไต่ถามทุกข์สุขกันเสมอมา บางครั้ง หลวงพ่อสุด ลงมากรุงเทพฯ จะมาแวะพักพูดคุย จนช่วงหลังๆ ท่านอาพาธหนัก เดินทางไปไหนไม่ได้ จึงมีจดหมายถึงหลวงปู่ดีขอให้ไปเยี่ยมท่าน

จึงหาโอกาสขึ้นไปเยี่ยมที่วัดเหนือ หลวงพ่อสุด ให้ศิษย์นิมนต์หลวงปู่ดีอยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ท่านก็ไม่รับปาก แต่ได้ช่วยดูแลกิจการต่างๆ เช่น สวดปาติโมกข์ หรือเทศน์แทนท่าน เป็นต้น

คราหนึ่ง หลวงพ่อสุด ให้ทายกหลายคนมาขอร้องให้ท่านเป็นสมภาร ท่านก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

จนเมื่อหลวงพ่อสุด มรณภาพ กรรมการและศิษย์วัดและชาวบ้านทั้งหลาย จึงนิมนต์ขอให้ท่านเป็นสมภารอีกครั้ง ซึ่งท่านไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงต้องรับเป็นเจ้าอาวาสวัดเหนืออย่างเต็มตัว

เป็นพระเถราจารย์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาจิต ท่านปรับปรุงและพัฒนาทุกอย่างในวัด ทั้งขนบธรรมเนียม ระเบียบพิธีการ และถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัด พระทุกรูปมีวัตรปฏิบัติเรียบร้อย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นับได้ว่า วัดเหนือได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ จนเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ชื่นชมศรัทธาของเหล่าสาธุชน แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส ยังทรงยกย่องให้เป็นตัวอย่างของวัดทั้งหลาย

เป็นพระอุปัชฌาย์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยที่พระองค์กลับมาอุปสมบทที่วัดเหนือและจำพรรษาอยู่ 1 พรรษา จากนั้นกลับสู่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตอีกครั้ง โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์

ในปี พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินต้นที่วัดเหนือ และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระปรมาภิไธย ภปร จารึกไว้เหนือผ้าทิพย์ ของ “พระพุทธรูปปางประทานพร” ที่วัดจัดสร้างเพื่อนำปัจจัยมาบำรุงวัด ทั้งพระราชทานแผ่นทอง เงิน และนาก ลงในเบ้าหลอมพระพุทธรูปทุกเบ้า อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง

ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา สมณศักดิ์สุดท้ายเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพมงคลรังษี และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี

ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2510 สิริอายุ 94 ปี พรรษา 73

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน