สมเด็จพระอริยวงษญาณสมเด็จพระสังฆราช (สุก) : อริยะโลกที่ 6
สมเด็จพระอริยวงษญาณ – สมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
เป็นพระมหาเถระที่ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระ จนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนว่า “พระสังฆราชไก่เถื่อน” ด้วยทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมให้ไก่ป่าเชื่องเป็น ไก่บ้านได้
ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ (1) เดือนยี่ ปีฉลู จุลศักราช 1095 พ.ศ.2276 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ, สันนิษฐานว่าเป็นชาวกรุงเก่า, ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อครั้งกรุงธนบุรีเป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม (ในพระราชพงศาวดาร เรียกว่าคลองตะเคียน) ในแขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา ผู้คนนับถือมาก
พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตน โกสินทร์ เมื่อได้ทรงจัดการข้างฝ่ายอาณาจักรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทรงพระราชดำริจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระราชาคณะในตำแหน่งต่างๆ ตามโบราณราชประเพณี และได้ทรงแสวงหาพระเถระผู้ทรงคุณพิเศษจากที่ต่างๆ มาตั้งไว้ในตำแหน่งที่สมควร เพื่อช่วยรับภาระธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป
ในคราวนี้เองที่ได้โปรดให้นิมนต์ พระอาจารย์วัดท่าหอย คลองตะเคียน แขวงกรุงเก่า มาอยู่วัดพลับ ให้เป็นพระญาณสังวรเถร พระอาจารย์วัดท่าหอย ดังกล่าว คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั่นเอง
ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ครั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย กรุงเก่า ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงได้โปรดให้นิมนต์มาอยู่ในกรุงเทพฯ และทรงตั้งเป็นราชาคณะที่ พระญาณสังวรเถร
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระฝ่ายอรัญวาสีนิยมความสงบวิเวก จึงได้โปรดให้มาอยู่วัดพลับ อันเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของธนบุรีครั้งนั้น คู่กับวัดรัชฎาธิษฐาน และอยู่ไม่ไกลจากพระนคร (วัดพลับ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดราชสิทธาราม ดังที่ปรากฏสืบมาจนบัดนี้)
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นที่เคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 และรัชกาล ที่ 2 ปรากฏนามพระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์ นับแต่คราวทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร เป็นต้นมา
รัชกาลที่ 2 โปรดให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 แรม 7 ค่ำ (ปีชวด พ.ศ.2359)
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร เป็นสมเด็จพระสังฆราช ณ วันพฤหัสบดี เดือน 1 ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1182 พ.ศ.2363
ระหว่างอยู่ที่วัดราชสิทธาราม ปรากฏว่าได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างพากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้น ต่างได้เห็นกฤตยาคมอันขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่านซึ่งสามารถเรียก ไก่เถื่อนจากป่าเป็นฝูงๆ มารับการโปรยทานจากท่านเต็มลานวัดทุกวัน
เหตุนี้ชาวบ้านสมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่า และ ยิ่งได้ลิ้มรสอาหารเสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็นไก่บ้าน
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 1 ปีกับ 10 เดือน สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 10 ขึ้น 13 ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ.2365 มีพระชนมายุ 89 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพ เมื่อตั้งที่พระเมรุท้องสนามหลวง พระโกศองค์นี้ นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเกียรติยศสูงบางพระองค์ มีปรากฏว่าได้ทรงแต่พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้พระองค์เดียว นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงด้วยเหตุที่ทรงเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งนั้นเอง
พระราชทานเพลิง เมื่อเดือน 12 พ.ศ.2365 ครั้นพระราชทานเพลิงแล้ว ได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิ ประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐานหลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้