พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ลุยงานศึกษาสงเคราะห์-สาธารณสงเคราะห์ ตามนโยบายกองทุนหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ล่าสุดช่วยหนูน้อย ป.4′ หยุดเรียน ดูแลแม่ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพ่อน้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เปิดเผยว่า ตามที่อาตมาได้ตั้งกองทุนหลวงพ่อพูล เพื่อสาธารณสงเคราะห์ และศึกษาสงเคราะห์ขึ้นมานั้น ที่ผ่านมาได้สงเคราะห์ชาวบ้านในชุมชนต่างๆ และทุกหน่วยงานที่อาตมาเล็งเห็นแล้วว่า เดือดร้อนและมีปัญหาจริงๆ

อาตมาพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือในทันที ล่าสุดเจออีกราย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่หยุดเรียนบ่อย เนื่องเพราะต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โดยคนเป็นแม่ร้องแทบขาดใจ รู้ตัวว่าใกล้จะถึงวันที่ต้องจากไป แต่โยมก็ขอสู้ฮึดสุดท้าย ให้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นานที่สุด เท่าที่พูดคุยกับโยม ทราบมาว่าเดือดร้อนมาก ไร้แผนใครดูแล

เพราะครอบครัว มียายอีก 2 คน ที่ชรามาก และหนึ่งในนั้นเสียสติเพราะถูกขืนใจตั้งแต่สาว ส่วนครูนั้นบอกว่าเด็กคนนี้ขยันเรียนมากเป็นเด็กดี แต่ลาหยุดเรียนบ่อย แต่ครูก็ได้ช่วยมาสอนพิเศษตามเพื่อนให้ทัน เด็กคนนี้เรียนที่โรงเรียน บ้านบางประแดง ต.บ้านใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม

ชื่อเด็กหญิงพระประภา ลิ้มเจริญ หรือ น้องอิน อายุ 10 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 มีบ้านพัก ไม่มีเลขที่ ม.5 ต.บ้านใหม่ โดยทางทีมงานกองทุนหลวงพ่อพูล ได้ไปพบกับโดย นางเพ็ญผกา ลิ้มเจริญ อายุ38 ปี ซึ่งไม่ได้ไปทำงานเนื่องจากไม่มีแรง จากอาการป่วย

โดยเมื่อพบกับทางทีมงานกองทุนหลวงพ่อพูล ได้เล่าสภาพความเป็นอยู่และความเครียดที่ชีวิตกำลังนับถอยหลังทุกนาที ด้วยน้ำตาทั้ง 2 แม่ลูกถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตที่ต้องมีต่อสู้ทุกวันโดยยังไม่รู้อนาคตของวันรุ่งขึ้นในครอบครัว

ซึ่งมีครูประจำชั้นได้เข้าร่วมประสานแจ้งมาทางกองทุนหลวงพ่อพูล เพื่อขอความช่วยเหลือและกระจายข่าวในการหาผู้ที่เกี่ยวข้องและใจบุญได้ทราบ ทางอาตมาก็ดำเนินช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถต่อไป

นางเพ็ญผกา เล่าว่า ก่อนหน้าตนเองได้เริ่มป่วนเป็นมะเร็งเต้านม เมื่อ 5 ปีก่อนและได้รักษาจนหาย ในระยะเวลา 3ปี จากนั้นก็ต้องทำงานคนเดียวในครอบครัว ที่มีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย ตนเอง น้องอินบุตรสาวคนเดียว ยายของน้องอิน อีก 2 คน

คือ ยายเอือด อายุ 72 ปี และยาย มณฑา อายุ 60 ปี (ป่วยมีอาการทางจิต เนื่องจากเคยถูกข่มขืนกระทำชำเรามาตั้งแต่วัยสาว) ซึ่งเงินเดือนที่มี ก็ได้จากโรงงานทำกล่องกระดาษ ออกเป็น วีคๆละ 3,000 บาท รวมก็ได้ 6,000 บาท

ต่อมา เมื่อประมาณ ปลายปี 59 ก็มีอาการป่วยจึงได้ไปตรวจ จึงได้ทราบว่า ได้ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 ซึ่งก็ได้เร่งทำการรักษา และมะเร็งก็ลุกลามไปถึงตับ แล้ว ทำคลีโมไป 3 ครั้ง จนผมร่วงหมด และร่างกายรู้สึกอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อสามีชาวพม่า มารู้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งอีกครั้ง ได้หนีออกและหายไปจากชีวิต

ทิ้งทุกคนให้ใช้ชีวิตลำพัง ซึ่งรายจ่ายของตนเอง จะต้องเสียค่าเช่าบ้าน เดือนละ 4,000 บาท เหลือ อีก 2,000 บาท ก็จะแบ่งไปใช้เป็นค่าอาหารของทุกคนและแบ่งให้น้องอินไปที่โรงเรียน ซึ่งตอนนี้ทำงานไม่ไหว ต้องหยุดพัก โดยทุกครั้งที่ไม่ไหว และต้องไปหาหมอรวมถึงทำคลีโม ก็จะมีเพียงน้องอิน นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปเป็นคนคอยดูแลตลอด

โดยต้องหยุดเรียน บ่อยครั้งซึ่งก็ห่วงว่าลูกสาวจะทำผลการเรียนไม่ดี ส่วนรายได้ที่น้อยนิด ถ้าอาหารในบ้านไม่พอ ตนเองจะยอมอดเป็นคนแรก ซึ่งจะมียายเอือดซึ่งแก่มากแล้ว คอยออกไปหาผัก พืชแถวนละแวกบ้านมาลวก มาผัดกินประทังชีวิต ซึ่งตนเองไม่ได้อยากได้เงินมาบริจาคแต่อยากให้มีการรักษาให้หายจะได้กลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวได้เต็มที่ และอยู่เพื่อลูก

ซึ่งทุกวันนี้รู้แล้วว่าร่างกายจะไม่ไหว จะไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็พยายามต่อสู้เพื่อให้มีพลังที่จะได้อยู่กับลูกได้นานที่สุด และวันนี้นึกไม่ออกว่าจะวางแผนชีวิตให้น้องอินและยายอีก 2 คนได้อย่างไร เมื่อตนเองไม่อยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้มืดมนไปหมด

ด้านน้องอิน ได้นั่งจับมือมารดา พร้อมร้องไห้ตลอดเวลา บอกว่า ทุกวันนี้ ยอมหยุดเรียนเพื่อที่จะมาดูแลแม่ และทุกครั้งที่หยุดเรียนก็จะพยายามไปติดตามการเรียนกับครูประจำชั้นซึ่งคุณครูก็จะมาสอนให้เพื่มเติมตลอด และไม่อยากให้แม่จากไป เพราะเหลือแม่ที่เป็นหลักในชีวิตเพียงคนเดียว ทุกวันนี้เครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วไม่รู้จะมีใครดูแล เพราะญาติที่มีก็เป็นยาย 2 คนนี้ ใครจะเช่าบ้านให้อยู่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป

นายพงษ์พัฒน์ รัตนะ ครูประจำชั้น บอกว่า เรื่องการเรียนของน้องอิน ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากหยุดเรียนบ่อย แต่ทุกครั้งที่จะหยุดเขาจะมาบอกว่าขอลาพาแม่ไปหาหมอ หรือแม่ไปทำงานไม่ไหวไม่มีแรง เขาก็จะหยุดดูแล โดยจะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปเป็นเพื่อนแม่ที่ต้องขี่รถไปบนถนนเพชรเกษมเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลวิชัยเวช ย่านอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร

ซึ่งคิดว่าอันตรายสำหรับทั้งคู่ ซึ่งตนเองก็จะอนุญาตและวางแผนการสอนเสริมให้ที่บ้าน โดยตอนนี้มีผู้ให้ทุนกับน้องอินเดือนละ 800 บาท แบ่งเป็นค่ารถสองแถวรับส่งไปกลับโรงเรียนเดือนละ 300 บาท เหลือ 500 บาทไว้กินอาหารที่โรงเรียน และมีความยากจนกว่าเพื่อนร่วมห้อง โดยเป็นนักเรียนที่มีจิตอาสา ชอบช่วยเหลือครู ในการทำงานกิจกรรมหรือการดูแลความสะอาดในห้องเรียน แต่จะห่วงแม่ทั้งวัน บางทีมีแอบร้องไห้ เมื่อรถมารับจะรีบกลับบ้านทันทีเพื่อรับกลับไปดูแม่ ที่ป่วย

ส่วนค่าเทอมนั้นทางโรงเรียนก็จะมีทุนการศึกษาแบบรวม ทั้งโรงเรียนให้ไม่ได้กำหนดให้คนใดคนหนึ่งซึ่งกระจายแบ่งกันไป สำหรับตอนนี้ก็จะเป็นปัญหาหาก มารดาไม่อยู่ว่าครอบครัวนี้จะอยู่กับต่อไปอย่างไรวอนให้หน่วยงานหรือผู้ใจบุญมาช่วยเหลือและวางแผนชีวิตให้ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน