หากเทียบบทบาทและการสำแดงออกระหว่างกรณีของเครือข่ายกปปส.ภายในพรรคประชาธิปัตย์ กับบทบาทและการสำแดงออกของพรรคภูมิใจไทยมีความแตกต่างกัน
ไม่ว่าจะมองผ่าน นายสกลธี ภัททิยกุล
ไม่ว่าจะมองผ่าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล
ท่วงท่าการเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลของ นายสกลธี ภัททิยกุล อาจเป็นการเดินทางเข้าไปพร้อมกับได้ตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม.ติดปลายนวม
แต่ลีลาของพรรคภูมิใจไทยโอ่อ่าอลังการยิ่งกว่า
ตัวอย่าง 1 คือ การไปปรากฏตัวในฐานะนักธุรกิจต้อนรับคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างการเยือนออสเตรเลีย
ตัวอย่าง 1 ที่เห็นๆ คือการต้อนรับที่บุรีรัมย์
บางคนที่อยู่ในเครือข่ายของ “อีเวนต์” อาจมองปริมาณการจัดคนกว่า 30,000 มาต้อนรับคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนบรรยากาศมหกรรมการกีฬา
อาจเป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อมองความไว้วางใจจากครม.ที่มีมติให้สนามแข่งรถที่จังหวัดบุรีรัมย์บริหารจัดการโครงการแข่งรถระดับนานาชาติพร้อมกับอนุมัติงบประมาณให้ ต้องยอมรับว่าบุรีรัมย์กับครม.เป็นเนื้อเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น การระดมคนกว่า 30,000 มารองรับการเดินทางไปของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่เท่ากับยืนยันฐานอันแข็งแกร่ง
นั่นก็คือ ความแข็งแกร่งของ “ภูมิใจไทย”
สถานะระหว่างคนของกปปส.ที่ถูกดูดออกจากพรรคประชาธิปัตย์กับกระบวนการ “ลอนซ์” ทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยผ่านกิจกรรมที่บุรีรัมย์จึงแตกต่างกัน
แตกต่างในสถานะ แตกต่างในเครดิต
คนของกปปส.ที่ฝังตัวอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่เหมือนกับเป็น “ตัวเบี้ย” ที่ขุนจะสั่งการอย่างใดก็ได้ตามปรารถนา
แต่พรรคภูมิใจไทยดำรงอยู่อย่างเป็น “พันธมิตร”
เป็นพลังทางการเมืองที่หากจะเป็น “แนวร่วม” ทางด้านคสช.ก็จะต้องให้เกียรติและเป็นการยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างอบอุ่น
มิใช่ “นาย” กับ “ลูกน้อง” เหมือนคนของ “กปปส.”
การยืนยันของพรรคพลังชลที่จะดำรงสถานะของพรรคก็ดำเนินไปในเส้นทางเดียวกันกับที่พรรคภูมิใจไทยกำลังเจรจาและต่อรองกับคสช.อยู่ในขณะนี้
หัวเด็ดตีนขาด ไม่มีการยุบพรรคภูมิใจไทย
ตรงกันข้าม บรรดาคนของ “กปปส.” ที่แฝงตัวอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ต่างหากต้องรอสัญญาณจาก “นาย” ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองด้วยกันหรือว่าเป็น “คสช.”
นี่จึงไม่ต่างไปจาก “ลูกแหล่งตีนมือ” โดยแท้