สภาวะ ขาลง อำนาจ ในมือ “คสช.” เจรจา ต่อรอง
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ทั้งๆ ที่คสช.มีอำนาจอยู่ในมือ เห็นได้จากที่รุกไล่พรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะโดยการใช้ “อภินิหาร” เสกเป่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ไม่ว่าจะโดยการจำกัดกรอบ ขอบเขต การเคลื่อนไหวในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มิให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่น
แล้วเหตุใดจึงเกิด “ปฏิกิริยา” แข็งขืน
ไม่เพียงแต่จะมาจากพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หากระยะหลังเริ่มมีการต่อรองอย่างเข้มข้นจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย
คําตอบมีอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ อำนาจที่อยู่ในมือของคสช. มิได้เป็นอำนาจเดียวกันกับที่เคยยึดกุมในห้วงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ความหมายก็คือ อำนาจเริ่มแปรเปลี่ยน
เป็นการแปรเปลี่ยนอย่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สรุปรวบยอดว่าดำเนินไปในลักษณะ “ขาลง” ในทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นว่าเป็น “ขาลง” การท้าทายต่ออำนาจย่อมตามมา
หากไม่เห็นว่าคสช. “ขาลง” มีหรือที่พรรคประชาธิปัตย์จะขอกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ มีหรือที่พรรคภูมิใจไทยจะขอกระทรวงคมนาคม
พื้นที่แรกของการประลองกำลังทางการเมือง คือพื้นที่การชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร สัมผัสได้ในการยื้อระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์
มีการปล่อยชื่อ นายชวน หลีกภัย ตามมาด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เป็นการปล่อยออกมาทั้งๆ ที่พรรคพลังประชารัฐวางตัว นายสุชาติ ตันเจริญ ตั้งแต่ต้น สะท้อนให้เห็นว่านี่คือจังหวะก้าวในการต่อรอง
เป็นการต่อรองข้ามไปยังตำแหน่งใน “รัฐบาล”
ตราบจนเย็นวันที่ 24 พฤษภาคม ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่แถลงอย่างเป็นทางการว่าจะส่งใครเข้าชิงตำแหน่งประธานสภา
ทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มมาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าพรรคพลังประชารัฐได้เพียง 115 น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งได้ 136
เมื่อจำนวนน้อยอำนาจการต่อรองก็ย่อมน้อย
จำนวนน้อยในที่นี้วางอยู่บนพื้นฐานการได้เปรียบจากอำนาจรัฐ หรือแม้กระทั่งเงินที่ระดมเข้ามาได้เป็นจำนวนมหาศาล
สภาวะขาลงจึงปรากฏและนับวันแต่จะเป็นไปตามบทเพลง “สาละวัน”
- วิเคราะห์การเมือง : การเมือง เหลือเชื่อ กระทบ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นไปได้อย่างไร