พูดแล้ว ไม่ทำ

ประชาธิปัตย์ ถึงคสช.

ล้วน “ดีแต่พูด”

คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง

ประชาธิปัตย์ ถึงคสช.จุดต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างนายกรัฐมนตรีอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ นายกรัฐมนตรีอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ตรงไหน

อยู่ตรงที่การลงมือ “กระทำ”

เพราะการลงมือทำตาม “นโยบาย” อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ไม่ว่าโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง

ทำให้คะแนนนิยมพรรคไทยรักไทยพุ่งกระฉูด

แม้จะถูกรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 แม้จะถูกทำลายในทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ตราบทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยอันเป็นอวตารแห่งพรรคไทยรักไทยยังเป็นพรรคอันดับ 1

ตรงกันข้าม กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค นับแต่ประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 เป็นต้น

ก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง พ่ายแพ้ซ้ำซาก

ถึงพรรคประชาธิปัตย์จะได้รับการหนุนช่วยจากกองทัพให้เข้ามาเป็นรัฐบาลภายหลังยุบพรรคพลังประชาชน แต่ก็ไม่สามารถสร้างคะแนนและความนิยมได้

กลับถูกเรียกว่าเป็นพรรค “ดีแต่พูด”

ไม่ว่าเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ก็พ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ก็พ่ายแพ้แม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่

ผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มา เกิดคสช. และพยายามอย่างเต็มเรี่ยวแรงที่จะเอาชนะพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งให้จงได้

ร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือ

ใช้นักกฎหมายประเภท “ศรีธนญชัย” อาศัยกลไกและอภินิหารในทางกฎหมายทุกกระบวนท่า แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้

ชะตากรรมก็แทบไม่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์

เพราะความเหมือนอย่างหนึ่งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ เป็นพรรคประเภทดีแต่พูด มิใช่ประเภทลงมือทำแบบพรรคไทยรักไทย

หากสำรวจบรรดาคนที่มีอำนาจอยู่ในรัฐบาลนับ แต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมาล้วนติดความเคยชินและความสันทัดอย่างเดียวกัน

นั่นก็คือ ถนัดในการให้คำมั่น “เราจะทำตามสัญญา”

กระนั้น ความเป็นจริงก็เห็นอย่างเด่นชัดว่า ที่ว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ก็มิได้เป็นความจริงและก็แทบไม่มีผลงานอะไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน

ความหมายก็คือ พูดแล้วไม่เคยทำตามสัญญา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน