อารมณ์ สังคม ต่อ สถานการณ์ ฉุกเฉิน กับ การยืดเวลา
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
อารมณ์ สังคม ต่อ สถานการณ์ ฉุกเฉิน – มองผ่านสถานการณ์ “ฉุกเฉิน”จากเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม
การประกาศและบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 26 มีนาคม มีความคึกคักอย่างยิ่ง
คึกคักทั้งรัฐบาล คึกคักทั้งประชาชน
แม้การประกาศและบังคับใช้จะอยู่ภายใต้หลักการ “สุขภาพเหนือเสรีภาพ” สังคมก็พร้อมเสียสละเสรีภาพส่วนตัวให้กับการบริหารจัดการในเรื่องโควิด-19
แต่เมื่อมาถึงเดือนพฤษภาคม กลับตรงกันข้าม
ลักษณะตรงกันข้ามกับเมื่อเดือนมีนาคม สะท้อนให้เห็นความไม่เห็นด้วย
ที่ไม่เห็นด้วยนั้นเพราะมีความรู้สึกว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย กระทั่ง มีการคลายล็อกมาตรการ “เข้ม” เป็นลำดับ
ขณะเดียวกัน ก็รับรู้ผลสะเทือนของสถานการณ์ “ฉุกเฉิน”
เป็นผลสะเทือนอันตกผลึกว่า การดำเนินมาตรการ “เข้ม” ของรัฐบาล ปิดเมือง ปิดงาน มิได้กระทำอย่างเตรียมพร้อมอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
สถานการณ์ “ฉุกเฉิน” จึงสะเทือนทาง “เศรษฐกิจ”
ผลสะเทือนในทาง “เศรษฐกิจ” ต่างหากที่ทำให้สถานการณ์ “ฉุกเฉิน” อาจเป็นปัญหา
ภาพของประชาชนเรือนพันที่เดินทางไปยังกระทรวงการคลัง ภาพของประชาชนเรือนพันที่รอคอยการแจกข้าวของและเงินทองจากผู้ใจบุญ
เป็นภาพเหลือเชื่อและไม่ควรให้เกิดขึ้น
แม้จะมีการคลายล็อกจากมาตรการ “เข้ม” แต่เชื่อได้เลยว่าอีกนานกว่าทุกอย่างจะราบรื่น ยิ่งยังมีการประกาศและบังคับใช้สถานการณ์ “ฉุกเฉิน” ยิ่งเป็นอุปสรรค
ความรู้สึกต่อสถานการณ์ “ฉุกเฉิน” จึงกลายเป็นความหงุดหงิด
สถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนมีนาคมกับในเดือนพฤษภาคมจึงไม่เหมือนกัน
เป็นความไม่เหมือนกันเพราะว่าการแพร่ระบาดของไวรัสเริ่มคลี่คลาย เป็นความไม่เหมือนกันเพราะคนรู้สึกว่าสถานการณ์ “ฉุกเฉิน” ทำให้ยากลำบากในทาง “เศรษฐกิจ”
จากสภาพ “เศรษฐกิจ” ก็จะแปรเป็นประเด็นทาง “การเมือง”