คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง : บทเรียน ร้าวรวดเจ็บปวด “กลุ่ม 4 กุมาร”เหยื่อ การเมือง
ภาพ 13 ขุนศึกที่ปรากฏ ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ สร้างความสะเทือนใจ
สะเทือนใจต่อ นายอุตตม สาวนายน นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อันถือว่าเป็น “กลุ่ม 4 กุมาร”อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำจาก นายวิรัช รัตนเศรษฐ์
เหตุที่ไม่ได้เชิญ นายอุตตม สาวนายนและคณะแห่ง “กลุ่ม 4 กุมาร”ไปร่วมเพราะว่าการเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความหมายเท่ากับเป็นการปลด นายอุตตม สาวนายน
ต่อให้หนักแน่นสักเพียงใดก็จะต้อง “เจ็บ”
ยิ่งบังเกิดนัยประหวัดถึงการร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐยิ่งรวดร้าว
ตอนที่ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ได้รับมอบหมายให้มาก่อร่างสร้างพรรค
ทุกเสียงสรรเสริญโดยอัตโนมัติว่าเป็นการเสียสละ
เสียสละจากตำแหน่งรัฐมนตรีมารับตำแหน่งทางการเมืองเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค
เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลยกระทั่งถึงเดือนมีนาคม 2562
คล้อยหลังเดือนมีนาคม 2562 แววแห่งการขับไล่ไสส่งเริ่มปรากฏ
ปรากฏจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ นายอุตตมสาวนายน ตามมาด้วยตำแหน่งเลขาธิการพรรคของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ว่าดำรงอยู่อย่างห่างเหิน
เข้าพบและสนทนาด้วยความยากลำบาก
เป้าหมายมิได้อยู่ที่ตัวของ นายอุตตม สาวนายน หากแต่อยู่ที่กระทรวงการคลัง เป้าหมายมิได้อยู่ที่ตัวของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หากแต่อยู่ที่กระทรวงพลังงาน
คนนั้นไม่ผิด แต่ผิดที่ครอบครอง“หยก”
กรณีของ“กลุ่ม 4 กุมาร”ให้บทเรียนมากมายในทางการเมืองยุคแห่งการปฏิรูป
ไม่ว่าจะมองผ่านสำนวนไทยแท้แต่โบราณที่ว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ไม่ว่าจะมองผ่านสำนวนกำลังภายในที่ว่า “นกสิ้น เกาทัณฑ์ซ่อน”
เป็นบทเรียนสำหรับ“ละอ่อน”ในทางการเมือง