วันที่ 15 ส.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางสุภาพร ชาตรีทัพ แม่ค้าขายผักและผลไม้ ว่าได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำในลำห้วย จากแนวเขาน้ำตกปุญญบาล หลากในยามที่ฝนตกหนัก และกัดเซาะตลิ่งพัง จนที่ดินหายไปเกือบ 2 ไร่ บ้านแม่พังหายไป 1 หลัง ในระยะเวลา 2 ปี และเหลือเพียง 5 เมตร จะถึงตัวบ้านตนเอง ที่อาศัยอยู่กับครอบครัว 3 ชีวิต พ่อแม่และลูกชาย 13 ขวบ

โดยที่เกิดเหตุเป็นซอยทรายทอง ริมถนนเพชรเกษม หลัก กม.ที่ 590 หมู่ 1 ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง ที่มีลำห้วยน้ำจากแนวเขาน้ำตกปุญญบาลไหลผ่านคู่กับถนน เมื่อเดินทางเข้าไปอีก 500 เมตร จึงถึงบ้านเลขที่ 8/11 ต.บางนอน อ.เมืองระนอง และมีนางสุภาพร เดินออกมารับผู้สื่อข่าวที่หน้าบ้าน จู่ๆ นางสุภาพร ก็เดินพนมมือออกมาและทรุดตัวลงกราบกับพื้นดิน จนผู้สื่อข่าวต้องรีบลงจากรถเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นยืน บอกให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวมีอะไรค่อยๆ คุยกัน นางสุภาพร กล่าวคำแรกทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า “เหมือนเทวดาลงมาโปรด”

นางสุภาพร กล่าวว่า ที่ติดต่อผู้สื่อข่าวมานั้น เนื่องจากอยากให้มาช่วยดูดินตลิ่งพัง บ้านแม่ก็หายไปแล้ว 1 หลัง เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักและน้ำในลำห้วยห้วยหลาก กัดกินที่ดินหายไปจำนวนมาก โดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือเลย ขอดินขอทรายไป หน่วยงานก็บอกให้ไปขนเอาเอง ปีนี้ให้กระสอบทรายมา 1 คันรถ ก่อนหน้านี้ต้องไปหาซื้อเอาเอง ซื้อมาก็เอามาวางข้างตลิ่งกันน้ำกัดเซาะ

จากนั้น นางสุภาพร ได้พาไปชี้จุดที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่บริเวณข้างบ้านห่างเพียง 5-6 เมตร และอธิบายว่าที่ดินเดิมและแนวห้วยเก่าอยู่ระหว่างริมสวนยาง ที่ห่างออกไปกว่า 60 เมตร เป็นเพียงคลองเล็กๆ แต่ตอนนี้น้ำเปลี่ยนทางกัดเซาะดินเข้ามาถึงตรงจุดนี้ พร้อมชี้บ้านเดิมของแม่ ที่ถูกน้ำเซาะหายพังไปทั้งหลังเมื่อปีที่ผ่านมา จะเห็นเสาปูน เสาบ้าน และพื้นบ้านซิเมนต์ของบ้านแม่จมอยู่ในน้ำลำห้วยที่มีน้ำไหลผ่าน น้ำเซาะเข้ามาเป็นอ่าว ขนาดประมาณกว้างคูณยาว 70X70 เมตร เมื่อปีที่แล้วได้ทำสันเขื่อนซิเมนต์กันน้ำกัดเซาะ ลงทุนไป 30,000 กว่าบาท ก็ได้พังลงอีก รอทางหน่วยงานก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือ ก็ได้วางถุงกระสอบทรายลงเพิ่มเติมไปอีก แต่ดินก็ยังคงพังต่อเนื่อง ที่ดินของแม่ประมาณ 1 ไร่เศษที่หายไป

ขณะนี้หวั่นว่าบ้านของตนที่สร้างไว้จะพังลงไปอีกหลัง ซึ่งเราก็ไม่มีเงินที่จะมาทำบ้านใหม่ ก็อยากจะให้ทางหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วย มาดูแลความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพื่อไม่ให้บ้านของเราหล่นลงไปลงคลอง หากไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ การป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น ก็ได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกเข้ามาช่วยกันวางกระสอบทรายเป็นแนวกั้นตลิ่งพัง ระยะทางประมาณ 20 เมตร ที่มีดินทรุดตัวเพิ่ม

โดยวิถีชีวิตของนางสุภาพร ก็เป็นแม่ค้าขายผักและผลไม้ในท้องถิ่น ไม่ว่าสะตอ มะพร้าว หรือพืชผักอื่นๆ ใส่รถซาเล้งพ่วงข้าง ไปจำหน่ายทุกเย็นที่ตลาดนัดข้างขนส่งจังหวัดระนอง มีรายได้กำไรวันละประมาณ 200-300 บาทต่อวัน ก็อยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาช่วยแก้ไขปัญหาที่ตนและสามี ไม่สามารถแก้ไขได้เองตามลำพัง นี่คืออีกหนึ่งทุกข์ของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุฝนตกหนัก และน้ำหลากกัดเซาะตลิ่งชายห้วยและชายคลอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน