ไม่เหลือใคร เมียมือสังหาร7ศพ เปิดใจช็อก พ่อแม่ลูกตายหมด ถ้าอยู่บ้าน-ศพแรกคือตัวเอง

โดนไล่ยิง ทำร้ายจนหามส่งโรงพยาบาลหลายครั้ง ร้องมูลนิธิปวีณาก็แล้ว ก่อนจุดจบสังเวยยกบ้าน 7 ศพ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักสงฆ์ปะติมะ ต.พะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ชาวบ้านใน อ.พะโต๊ะ ได้ช่วยกันตกแต่งหีบบรรจุศพของสมาชิกในตระกูล อ่อนมุกข์ จำนวน 5 คน วางเรียงกันเป็นที่สลด โดยใช้หีบปรับอากาศ และตกแต่ง ด้วยดอกไม้สวยงาม เท่าที่หาได้ในท้องถิ่น

โดยในคืนแรกของการสวดพระอภิธรรมศพ ของคนทั้ง 5 คน มีเพียงญาติสนิท ลูกหลานในตระกูล อ่อนมุกข์ ที่อยู่ ใน จ.ชุมพร เดินทางมาร่วมงาน มีนายทินกร อ่อนมุกข์ ลูกชายคนสุดท้อง ที่รอดชีวิตและยังมีอาการบาดเจ็บ แผลที่ถูกยิงบริเวณลำตัว แต่ยังคงมาร่วมต้อนรับแขกในช่วงเย็น วันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ขณะที่ น.ส.บุณยนุช ศรสังข์ อายุ 37 ปี ภรรยาของนายสุชีพ ศรสังข์ มือสังหารที่ปลิดชีพคนในตระกูล อ่อนมุกข์ ได้เดินทางมาถึง พยายามเลี่ยงไม่ให้มีการบันทึกภาพ โดยเมื่อเสร็จพิธีก็รีบขึ้นรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ ออกไปจากบริเวณที่จัดงานทันที บรรยากาศงานวันแรกเงียบเหงาสุดเศร้า โดยคนในตระกูล อ่อนมุกข์ ที่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงเป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง

เวลา 11.30 น. วันที่ 2 ม.ค. ที่วัดปะติมะ ต.พะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร นายอำนวย บุญญโส นายอำเภอพะโต๊ะ เดินทางไปตรวจความเรียบร้อยในการบำเพ็ญกุศลศพ ทั้ง 5 ราย ที่เป็นเหยื่อคมกระสุนปืนโหด เปิดเผยว่า อำเภอจะให้การช่วยเหลือในการบำเพ็ญกุศลศพอย่างเต็มที่ เป็นเจ้าภาพช่วยในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้งานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากในครอบครัวนี้เหลือเพียงนายทินกร อ่อนมุกข์ และ นางสาวบุญยนุช ศรสังข์ พี่สาว เท่านั้น และอยู่ในสภาวะที่กำลังเสียใจอย่างหนัก นอกจากนั้นได้ประสานไปยัง รพ.พะโต๊ะ เพื่อให้เข้ามาดูแลทางด้านสุขภาพจิตของนายทินกร โดยเฉพาะหลังผ่านพ้นงานศพไปแล้ว

ส่วนอาวุธปืนที่ใช้สังหารทั้ง 7 ศพ เบื้องต้นทราบว่า เป็นปืนที่มีการจดทะเบียนในท้องที่อำเภออื่น แต่ไม่ใช่ปืนของ นายสุชีพ ศรสังข์ แต่ได้ไปซื้อมาจากเพื่อน และยังไม่ได้โอน ซึ่งทางอำเภอจะต้องไปสืบหาว่า เจ้าของปืนเป็นใคร เพื่อเรียกมาสอบปากคำ ว่ามีส่วนรู้เห็นในการก่อเหตุครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ขณะที่อำเภอพะโต๊ะ เข้มงวดในการอนุญาตมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองของมาก ส่วนใหญ่จะอนุญาตปืนเล็กยาว .22เพื่อไว้ใช้ในบ้านเท่านั้น

เวลา 12.00 น. วันเดียวกัน ที่วัดปะติมะ ที่ตั้ง 5 ศพ โดยนายอำเภอพะโต๊ะ ได้พูดคุย กับ น.ส.บุญยนุช ภรรยามือสังหารโหด ที่ปลิดชีพคนในครอบครัวและลูกๆของตัวเอง เพื่อเป็นกำลังใจ ให้กับสองพี่น้อง ในครอบครัว อ่อนมุกข์ เพื่อให้ต่อสู้ชีวิตต่อไป

จากนั้น น.ส.บุณยนุช หรือ น้องจุ๊ ยอมเปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก หลังจากปฏิเสธการพูดคุยตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยบอกว่า รู้สึกเสียใจและช็อกมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีคนก่อเหตุยิงยกครัว เพราะความขี้หึงและเป็นคนใจร้อน อีกทั้งเป็นคนไม่ทำอะไรเลย ทำให้ทุกคนไม่ยอมรับ จึงมีการบ่นบ้างตามธรรมดา ซึ่งสามีควรจะรู้ตัวบ้าง อีกทั้งคนอื่นมองเขาอาจจะเป็นคนดีนั้นแค่เปลือกนอก แต่คนในบ้าน ยอมรับว่าอึดอัดใจที่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความสะเทือนใจให้กับตนเองเป็นอย่างมาก แม้จะพยายามทำใจแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะต้องรับข้อมูลกระแสข่าวที่คนภายนอกไม่รับรู้ ว่าทางบ้านของตนเองกดดันทำให้นายสุชีพ สามี ได้ใช้อาวุธปืนยิงทุกคนในครอบครัวของตนเองตายไปถึง 6 คน

น.ส.บุญยนุช กล่าวว่า คนภายนอกอาจจะดูว่า นายสุชีพ เป็นคนดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบช่วยเหลือคน อีกทั้งยังเป็นคนอ่อนน้อม แต่ในความจริงนั้น ภายในบ้านกลับตรงกันข้าม เพราะตั้งแต่อยู่กินกันมานับ 10 ปี ใหม่ๆจะดูดี สุภาพ แต่นับวันนานเข้า นายสุชีพ เริ่มทำในสิ่งไม่ดีหลายๆอย่าง อีกทั้งเป็นคนขี้หึงอย่างรุนแรง ชนิดคอยตามโทรจิกหาตนตลอดเวลา ซึ่งนายสุชีพ ก็รู้ว่าอาชีพของตนต้องพบปะลูกค้า ทำงานไม่เป็นเวลา

น.ส.บุญยนุช กล่าวต่อว่า นายสุชีพ เคยทำร้ายตนถึงขนาดใช้อาวุธปืน ไล่ยิงตนเองมาแล้วก็มี ใช้กำลังทำร้ายร่างกายถึงขนาดหามส่งโรงพยาบาลมาแล้วก็หลายครั้ง และหนักสุด ชกตนถึงขนาดม่านตาแตก ตนต้องหอบร่างไปแจ้งมูลนิธิปวีณาฯ มาแล้ว ซึ่งทุกครั้งที่ตนจะฟ้องหย่า นายสุชีพ ก็จะเอาลูกมาเป็นตัวประกัน ซึ่งตนก็ต้องใจอ่อนทุกครั้ง เพราะสงสารลูกไม่อยากให้ครอบครัวแตกแยก ซึ่งลึกๆ ตนแค้นมากและเคยบอกกับนายสุชีพด้วย แต่แทนที่เขาจะสำนึกกลับหนักข้อขึ้นกว่าเดิม จนตนต้องหนีออกจากบ้าน ซึ่งก็ทำให้นายสุชีพ โกรธแค้นหนัก ชนิดโทรขู่ฆ่าตนและครอบครัว

นางสาวบุญยนุช กล่าวต่ออีกว่า ยอมรับว่า ทางครอบครัวไม่มีใครชอบนายสุชีพ เนื่องจากไม่สนใจที่จะช่วยเหลือที่บ้านเลย แม้กระทั่งค่าเลี้ยงดูลูกทั้งสองคน ซึ่งก็เป็นลูกของเขาเอง เงินที่มีก็เอาไปกินเหล้าเมายา ปล่อยให้เป็นภาระตนและครอบครัว ซึ่งก็มีบ้างที่จะต้องบ่น ต้องว่ากล่าวกัน ประกอบกับเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา นายสุชีพคิดว่าตนจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อมาเยี่ยมแม่และลูก แต่ตนไม่ได้กลับไป เพราะติดงานที่พัทยา ทำให้เขาโกรธแค้น และยังมาได้ยินเสียงบ่นจากคนในครอบครัวอีก จึงน่าจะเป็นมูลเหตุทำให้ก่อเหตุโหดร้ายในครั้งนี้ ซึ่งความโกรธแค้นที่มีต่อกันได้จบลงไปกับความตายของเขาเอง และหากวันนั้นตนเองอยู่ด้วย ศพแรกที่นายสุชีพจะยิงก็คือตนแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน