เมีย หนุ่มแรงงานไทยในไต้หวัน ดับกลางทะเล เตรียมบินเผาศพผัว เอากระดูกกลับบ้านเกิด

จากกรณีอุบัติเหตุ ที่ไซต์งานก่อสร้างของบริษัท PAN ASIA CORPORATION ใน ไต้หวัน กับคนงานไทย 6 คนและไต้หวัน 1 คน ร่วงตกทะเล ขณะที่แรงงานดังกล่าวกำลังทำงานขนย้ายก้อนปูนขนาดใหญ่ลงเรือ เพื่อลากไปถ่วงยังสถานีรับและเก็บแก๊สกลางทะเล ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้แรงงานไทย 3 คน เป็นชาวอุดรธานี 1 คน สุโขทัย 1 คน และ นครพนม 1 คน จมน้ำเสียชีวิต ส่วนแรงงานไทยที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คนและบาดเจ็บเล็กน้อย 2 คน ส่วนแรงงานชาวไต้หวันบาดเจ็บเล็กน้อย ตามที่เสนอไปแล้วนั้น

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อนล่าสุดวันที่ 3 ธ.ค. ที่บ้านเลขที่ 162 ม.7 ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านของ นายพิพัฒน์ แสนโคตร อายุ 54 ปี 1 ในแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และจมน้ำเสียชีวิต ขณะทำงานอยู่กลางทะเล ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของนายพิพัฒน์ฯ เดินทางมาให้กำลังใจ นางสุดารัตน์ แสนโคตร อายุ 40 ปี ภรรยาของนายพิพัฒน์ฯ ที่กำลังนั่งดูภาพของสามีในโทรศัพท์มือถืออยู่ที่บันไดบ้านด้วยอาการโศกเศร้า ซึ่งภาพถ่ายของนายพิพัฒน์ฯ มีทั้งภาพงานแต่งงาน และภาพขณะนายพิพัฒน์ฯ สมัยยังมีชีวิต


นางสุดารัตน์ฯ เปิดเผยว่า ตนและนายพิพัฒน์ฯ มีลูกชายด้วยกัน 1 คนตอนนี้อายุ 19 ปี แล้วขณะนี้ไปทำงานอยู่ที่ จ.ระยอง ก่อนนี้นายพิพัฒน์ฯ ทำงานที่โรงงานน้ำตาลใกล้บ้าน และได้ลาออกไปทำงานที่ไต้หวัน ซึ่งวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 1 ธันวาคม ทางบริษัทฯ ที่จัดส่งสามีไปทำงานได้โทรศัพท์แจ้งมาให้ทราบว่า สามีตนเสียชีวิตขณะทำงานอยู่กลางทะเล พร้อมแรงงานไทยอีก 2 คน หลังทราบข่าวตอนนั้นรู้สึกตกใจมากได้แต่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าสามีจะมาเสียชีวิต เพราะเพิ่งเดินทางไปทำงานเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา หลังจากตั้งสติได้จึงโทรศัพท์ไปบอกลูกชายและญาติ ๆ ของสามี

“ก่อนหน้านี้หลังพักเที่ยง หรือเลิกงาน สามีจะโทรศัพท์กลับมาทุกวัน เพราะเขารู้ว่าเราเป็นห่วง ล่าสุดที่ได้คุยกับสามี เมื่อวันที่ 30 พ.ย. เขาบอกว่าได้ของขวัญวันเกิดแล้ว หลังจากที่ตนอาหารไปให้ เนื่องจากสามีมีโรคประจำตัวอยู่ แล้วสามีบอกว่าจะเลิกดื่มเหล้า จนวันเกิดเหตุตอนพักเที่ยงไม่เห็นโทรศัพท์กลับมาหา ตนจึงโทรกลับไปก็เขาก็ไม่รับ ส่งข้อความไปให้ก็ไม่อ่าน จนมาทราบว่าเขาเสียชีวิต

หลังจากนั้นทางบริษัทที่ส่งสามีไปทำงาน ติดต่อมาว่าตนต้องการไปรับศพสามีที่ไต้หวันหรือไม่ ตนจึงตอบไปว่าต้องการไปนำร่างของเขากลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่บ้าน แต่ทางนั้นเขาบอกว่า หากนำร่างกลับมา ค่าใช้จ่ายสูงมาก ประมาณ 3-4 แสนบาท แต่ถ้าเผาที่นั่นและรับเถ้ากระดูกกลับมา ค่าใช้จ่ายจะไม่มาก เขาอยากให้ตนเอาเงินที่เหลือส่วนนี้ เก็บไว้ดำเนินชีวิตจะดีกว่า ตนจึงตัดสินใจจะเดินทางไปทำพิธีเผาร่างสามีที่ไต้หวัน และเอาเถ้ากระดูกกลับมาทำพิธีตามประเพณี ก็ต้องรอให้ทางบริษัทฯ เดินเรื่องเอกสาร เพื่อขอวีซ่าก่อน จึงจะได้ไป”

น.ส.สุดารัตน์ฯ กล่าวต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้ตนยังมีหนี้สินที่ได้ไปกู้เงินจากญาติมา จำนวน 1 แสนบาท ที่ให้สามีเดินทางไปทำงาน สามีเพิ่งส่งเงินกลับมาใช้หนี้เพียงครั้งเดียว 2 หมื่นบาท และก่อนหน้าสามีโทรมาบอกว่า เดือนที่ผ่านมา ทำโอทีได้เยอะ คงจะโอนเงินมาได้มากขึ้น และบอกจะโอนให้ในวันที่ 10 ธันวาคม นี้ แต่ก็มาเสียชีวิตก่อน จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเรื่องสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่สามีจะได้รับ เพราะสามีเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้อง

ต่อมาเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน นายสมหมาย สิงห์น้อย เจ้าพนักงานแรงงานชำนาญงาน สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายคุ้มครองคนหางานต่างประเทศ และนายไชยฤทธิ์ พลละเอียด ประกันสังคม จ.อุดรธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลประโยชน์ ได้เดินทางไปพบนางสุดารัตน์ฯ โดยนำเอกสารสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้เสียชีวิต ที่จะได้รับชดเชยในกรณีที่เสียชีวิตในระหว่างทำงาน พร้อมให้คำแนะนำในการดำเนินการติดต่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ

นายสมหมายฯ เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตเป็นสมาชิกของกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จึงมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชย เป็นค่าปลงศพ 4 หมื่นบาท ส่วนเงินชดเชยในกรณีอื่นที่จะได้รับ ทั้งในส่วนของกระทรวงแรงงาน บริษัทจัดส่ง และบริษัทนายจ้างในประเทศไต้หวัน หากทำงานเป็นเวลานาน จะได้ค่าชดเชยสูงกว่าพึ่งเดินทางไปทำงาน ส่วนการเดินทางไปรับเถ้ากระดูกที่ไต้หวันเพื่อนำกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา ทางบริษัทนายจ้างกำลังดำเนินการทำเรื่องขอวีซ่าเข้าเมือง ให้กับ นางสุดารัตน์ฯ

ด้านนายไชยฤทธิ์ ได้แจ้งสิทธิ์ของ นายพิพัฒน์ฯ ว่ายังมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองจาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เอาประกันตนตามมาตรา 38 ที่ออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน จึงจะได้รับเงินค่าปลงศพ 4 หมื่นบาท นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ฯ ได้สมัครเข้าประกันตน ตั้งแต่ พ.ศ.2543 แต่ไม่ได้มีการส่งเงินสมทบทุกเดือนต่อเนื่องกัน แต่ก็มีเงินสะสมตามระเบียบเป็นเงิน 7,879 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว จะเป็นสิทธิ์ของทายาทผู้เสียชีวิต คือนายสหัสวรรศ แสนโคตร อายุ 19 ปี บุตรชายของนายพิพัฒน์ฯ และ นางสุดารัตน์ฯ ภรรยา

โดยทั้ง 2 หน่วยงาน ได้อำนวยความสะดวก พร้อมคำแนะนำการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อประกอบการของรับสิทธิต่าง ๆ ซึ่งแนะนำให้ นางสุดารัตน์ฯ เดินทางเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 หน่วยงาน หลังจากที่เดินทางกลับมาจากประเทศไต้หวัน เพื่อไปรับเถ้ากระดูก นายพิพัฒน์ กลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณีเสียก่อน หลังจากเสร็จสิ้นการทำพิธีตามประเพณีแล้ว สามารถเข้าไปดำเนินการเดินเรื่องของเอกสารกับทั้ง 2 หน่วยงานได้ทันที

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน