ผอ.โรงเรียนหญิงล้วน โต้ดราม่า ห้ามไว้ผมหน้าม้า รับมีกฎตั้งไว้จริง ตั้งแต่ พ.ศ.2523 อยู่ในคู่มือนักเรียน ทำเอ็มโอยูกับผู้ปกครองไว้แล้ว แต่ไม่ถึงไล่ออก แค่หักคะแนเท่านั้น เชื่ออาจเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน

ห้ามไว้ผมหน้าม้า จากกรณี เพจเฟซบุ๊ก กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้เปิดเผยข้อมูลจากนักเรียนในโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งใน จ.จันทบุรี หลังทางโรงเรียนออกกฎห้ามไว้ผมหน้าม้า โดยท้ายเอกสาร ระบุให้ผู้ปกครองและนักเรียนเซ็นชื่อยอมรับ หากไม่มาจะเชิญย้ายสถานศึกษา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว รร.หญิงล้วนดัง จับทำสัญญา ห้ามนร.ไว้ “ผมหน้าม้า” ผู้ปกครองไม่มาเซ็นเชิญออก

ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 11 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง ร.ร.ศรียานุสรณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด เข้าพบกับผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าว โดยบรรยากาศภายในโรงเรียนพบว่ามีนักเรียนหญิงทั้งในระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย เดินทางมาเรียนตามปกติ และจากการสังเกตนักเรียนส่วนใหญ่หากอยู่ในระดับชั้น ม.ต้น จะตัดผมสั้นเสมอใบหู หวีแสกกลางหรือข้าง ส่วนในระดับชั้น ม.ปลายจะไว้ผมยาว มัดผมทรงหางม้าด้วยโบว์สีขาว แต่ไม่พบมีนักเรียนไว้ทรงหน้าม้า

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบกับ นายสำเริง ศรีสิทธิชัยกุล ผอ.ร.ร.ศรียานุสรณ์ จันทบุรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย นายสำเริง เปิดเผยว่า เรื่องประเด็นห้ามนักเรียนไว้ผมทรงหน้าม้า เป็นระเบียบของ ร.ร.ศรียานุสรณ์ มานานด้วยความที่โรงเรียนจะครบรอบ 100 ปี ประกอบกับประเด็นทางโรงเรียน ได้ทำ MOU ไว้กับผู้ปกครอง ในเรื่องประเด็นข้อห้ามทรงผมหน้าม้า ไว้ตั้งแต่ปี 2523 และทำมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีปรากฏอยู่ในคู่มือนักเรียนมาแต่ไหนแต่ไร จวบจนถึงปัจจุบัน

ในส่วนกระข่าวที่ออกมา น่าจะเป็นเรื่องของประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ถ้าเด็กไว้ทรงผมหน้าม้า แล้วต้องไล่ออก ซึ่งในความเป็นจริงระเบียบของโรงเรียนจะตัดสินไล่เด็กออกนั้น ต้องมีขั้นตอนระบบ และไม่เคยมีประวัติไล่เด็กออก เพราะการไว้ผมหน้าม้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้น่าจะเป็นความหวังดีของอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ทำงานเกี่ยวกับสภานักเรียน แล้วเกรงว่าเด็กสภานักเรียนถ้าไว้ผมหน้าม้า แล้วถูกตัดคะแนน 10 คะแนน จะไม่ส่งผลดีต่อโครงการ คนดี ศรียานุสรณ์

ซึ่งเป็นโครงการที่มีมานาน หากนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ทำงานมามาก มีคุณสมบัติครบแต่มาถูกตัดคะแนนแค่ 15 คะแนน เพราะไว้ทรงผมหน้าม้า และก็อาจจะเป็นด้วยความห่วงใยของอาจารย์ ก็เลยมีการนำข้อความ ไปโพสต์ในกลุ่มนักเรียนว่า อย่าไว้ทรงผมหน้าม้า เพื่อเป็นการป้องปราม แต่การป้องปรามในการสื่อสารออกไปแล้ว มันเหมือนข้อความไม่ครบถ้วน จึงทำให้เกิดกระแส ดราม่า ดังกล่าวเกิดขึ้น

นายสำเริง กล่าวต่อว่า ในประเด็นเรื่องดังกล่าว ทางโรงเรียนได้ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองทุกวันเปิดเทอมการศึกษาใหม่ โดยจะทำสัญญาทุกปีและระบุในสัญญาไว้ชัดเจนทุกข้อที่ปรากฏ และล่าสุดเมื่อวันประชุมผู้ปกครอง วันที่ 30 พ.ย.กับวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางโรงเรียนและส่วนของกิจการนักเรียนตลอดจนทางฝ่ายบุคคล ได้ชี้แจงทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือด้วยการให้ผู้ปกครอง ช่วยป้องปราม และกวดขัน เพราะว่าทางโรงเรียนความห่วงใย หากเด็กมีใบลงบันทึกความผิดเข้าไปแล้ว จะส่งผลไปถึงเรื่องของการรับรองความประพฤติประกอบกับตัวชี้วัดอื่นๆ อีกมากมาย และไม่อยากให้เด็กมีความด่างพร้อยในเรื่องนี้ ก็เลยมีการวางมาตรการป้องปราม

ขณะที่นักเรียนหญิงชั้น ม.5/13 คนหนึ่งบอกว่า ในส่วนประเด็นเรื่องดังกล่าว ในความคิดเห็นส่วนตัว มีความคิดที่เป็นกลาง เพราะว่าไม่ได้เป็นคนตัดหน้าม้ามาก่อนอยู่แล้ว คิดว่าการที่โรงเรียนมีกฎก็ไม่ผิด แต่ว่าบางทีอาจจะดูเข้มงวดไปบ้าง ประกอบกับการที่ไม่เคยรับทราบ หรือการชี้แจงจากทางโรงเรียนว่า ถ้าเด็กนักเรียนถูกเตือนเรื่องการไว้ผมหน้าม้า ถ้าเกิน 3 ครั้งจะโดนไล่ออก ในส่วนนี้ไม่แน่ใจ แต่ว่าถ้าในมุมนักเรียนอย่างตนที่มีเพื่อนที่ตัดผมหน้าม้า ก็รู้สึกว่ามันทำให้เพื่อนมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการเจอหน้าคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะกับสรีระโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล ว่าเมื่อไว้ทรงผมหน้าม้า จะมีความเหมาะสม หรือ จะสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้ดีได้หรือไม่

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ทางด้าน นักเรียนหญิงชั้น ม.6/13 อีกคนบอกว่า กรณีระการห้ามนักเรียนไว้ทรงผมหน้าม้า เป็นระเบียบโรงเรียนที่ครูได้ชี้แจงในการปฐมนิเทศ หรือบอกไว้ในกฎระเบียบอยู่แล้วว่า ถ้าเป็นทรงผมที่ไม่ใช่ของธรรมชาติที่เราได้มีตั้งแต่เกิด ก็คือไม่อนุญาตให้มี แต่ถ้ามีสามารถเก็บให้เป็นทรงได้ ในส่วนตัวก็ไม่ได้ไว้ผมม้า ก็เลยไม่ได้มีปัญหากับตรงนี้เท่าไหร่ ประกอบกับตนกำลังจะจบ ม.6 แล้วก็มีความกังวลบ้างเล็กน้อย และห่วงชื่อเสียงของเรียนด้วย เนื่องจากเป็นสถาบันใหญ่ เป็นโรงเรียน
ระดับจังหวัด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน