จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก “แหม่มโพธิ์ดำ” แชร์ข้อมูลและติดตามเหตุการณ์ของเด็กหญิงในมูลนิธิชื่อดังแห่งหนึ่ง อ้างว่าถูกพ่อบ้านของมูลนิธิดังกล่าวลวนลามและกระทำอนาจาร จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ปลอดภัยของเด็กสาวที่อยู่ในมูลนิธิดังกล่าว

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ปกครองพาเด็กหญิงวัย 13 ปี ที่อยู่ในมูลนิธิดังกล่าว และคุณเล็ก (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.เนติรัฐ ไชยสถิต รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทีมสหวิชาชีพ จากบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมสอบปากคำ

โดยคุณเล็ก หนึ่งในผู้ที่พาเด็กสาวเข้าแจ้งความเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้ไปเยี่ยมเด็กๆที่มูลนิธิแห่งนี้ ได้พูดคุยกับ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ก็ต้องตกใจ เมื่อด.ญ.เอ เล่าให้ฟังพร้อมกับร้องไห้ไปด้วยว่า พ่อบ้านของมูลนิธิดังกล่าว ได้แสดงพฤติกรรมผิดปกติ โดยช่วงกลางคืนจะย่องเข้ามาในห้องนอนของเด็กๆ ซึ่งทุกคนรู้สึกแปลกๆ และต่างก็ระมัดระวังตัว โดยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว เด็กๆในบ้านเดินทางไปทำกิจกรรมที่กทม. เหลือด.ญ.เอ อยู่บ้านเพียงลำพัง ปรากฎว่าพ่อบ้า ได้มาบอกกับด.ญ.เอ ว่าภรรยาของพ่อบ้าน บอกให้ไปนอนที่ห้องคอมพิวเตอร์ แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยอมทำตามโดยทำทีนอนห่มผ้าคลุมโปงไว้ กระทั่งตกกลางดึกพบว่าพ่อบ้านได้แอบเข้ามาในห้อง แล้วเปิดผ้าห่ม ก่อนใช้มือจับก้น ด้วยความตกใจ ด.ญ.เอพยายามกลั้นเสียงไม่ร้องไห้เพราะกลัวอย่างมาก แต่ทำทีแกล้งบิดขี้เกียจ ขยับตัว ทำให้พ่อบ้านหลบออกไป สร้างความหวาดกลัวให้กั ด.ญ.เอ เป็นอย่างมากจนไม่กล้านอนหลับ ต้องร้องไห้ตลอดทั้งคืน

นอกจากข้อมูลของด.ญ.เอ แล้ว ยังพบว่ามีเด็กในมูลนิธิอีกหลายคนที่ถูกกระทำอนาจาร บางคนถูกนั่งเบียด เอามือโอบเอว ขณะเดินผ่านเอามือมาถูกก้น ซึ่งเด็กๆต่างรับรู้พฤติกรรมและช่วยกันระวังตัวกันเป็นพิเศษเมื่ออยู่กับพ่อบ้าน โดยรายล่าสุดเกิดขึ้นกับด.ญ.บี (นามสมติ) อายุ 12 ปี ซึ่งไม่ใช่เด็กในความดูแลของมูลนิธิ แต่ด.ญ.บีมักจะมาเล่นกับลูกๆของพ่อบ้าน บางครั้งก็นอนค้าง เนื่องจากพ่อแม่ทำงานดึก คืนหนึ่งขณะที่ ด.ญ.บีนอนหลับ พ่อบ้านก็เข้ามาหอมแก้ม พร้อมกับดึงผ้าห่มออกแล้วถลกเสื้อเพื่อกระทำอนาจาร

คุณเล็ก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากทราบเรื่องได้พยายามสืบหาข้อมูลเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของพ่อบ้านผู้ดูแลมูลนิธิรายนี้ จนทราบข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ดีกับเด็กหลายคน จึงได้ติดต่อแม่ของ ด.ญ.เอ เพื่อให้เด็กเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เมื่อแม่ทราบเรื่องได้เดินทางมารับตัวด.ญ.เอ ออกจากมูลนิธิดังกล่าวทันที พร้อมกับตัดสินใจเข้าแจ้งความกับตำรวจ ขณะเดียวกันเมื่อพ่อแม่ของ ด.ญ.บี ทราบเรื่อง ก็ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.หัวหิน เพิ่มอีกราย

ทั้งนี้ข้อมูลทั้งหมดได้แจ้งไปยังผู้บริหารสำนักงานใหญ่ ต้นสังกัดของมูลนิธิแห่งนี้ ทางผู้บริหารของมูลนิธิแจ้งเพียงว่า ได้สั่งพักงานทั้งพ่อบ้านและภรรยา ซึ่งเป็นคนดูแลมูลนิธิ เป็นการชั่วคราวแล้ว ซึ่งมองว่าไม่ถูกต้อง เพราะมีพฤติกรรมอันตรายต่อเด็กๆ ควรให้ออกจากหน้าที่ไปเลย แล้วเปลี่ยนผู้ดูแลเด็กคนใหม่ แต่กลับพบว่าพ่อบ้านยังวนเวียนอยู่ในมูลนิธิ อีกทั้งเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นถูกแพร่ถึงบุคคลภายนอก กลายเป็นว่า ด.ญ.เอ ถูกเพื่อนๆ ในบ้านเดียวกันรังเกียจไม่ให้เข้ากลุ่ม ทำให้ ด.ญ.เอ เกิดความเครียดและเสียใจอย่างมาก สภาพจิตใจย่ำแย่ โดยได้โทรศัพท์ให้แม่มารับและขอลาออกจากโรงเรียนที่กำลังเรียนอยู่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวหิน ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดหัวหิน ออกหมายจับ พ่อบ้านคนดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นตั้งข้อหา ลวนลามกระทำอนาจารต่อเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี”

ต่อมาพ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผกก.สภ.หัวหิน พร้อมด้วย พ.ต.ท.เสมอ อยุ่สำราญ รอง ผกก. และ พ.ต.ท.ชัยวัฒน์​ สืบยิ่ว สารวัตร (สอบสวน) สภ.หัวหิน คุมตัวพ่อบ้านมูลนิธิ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี มาสอบปากคำ เบื้องต้นได้ให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวนว่าไม่ได้กระทำอนาจารเด็กหญิงตามที่ถูกกล่าวหา

พ่อบ้านคนดังกล่าวให้การโดยอ้างว่าเป็นคนรักเด็ก เนื่องจากมีลูกสาวในวัยไล่เลี่ยกัน ตนรักลูกตนเอง และเด็กทุกๆ คนเหมือนลูก และมักจะหอมแก้ม กอดลูกตนเองบ่อยครั้ง รวมทั้งเด็กๆ ในความดูแลเป็นประจำ จึงอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เบื้องต้นสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิได้สั่งพักงาน และได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก โดยยอมรับว่ายังกลับมาที่มูลนิธิแห่งนี้ เนื่องจากเด็กโทรศัพท์ไปหาบอกว่าคิดถึง หายไปไหน ทำให้ตนยังคงวนเวียนไปมาที่มูลนิธิแห่งนี้ และยืนยันจะไม่ได้กระทำอนาจารเด็กหญิง และขอสู้คดีในชั้นศาลต่อไป

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมนำตัวผู้ต้องหาฝากขังที่ศาลจังหวัดหัวหินในวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งผู้ต้องหามีสิทธิขอประกันตัวได้ คาดว่าจะใช้เงินประกันตัวราว 2 แสนบาท แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล โดยโทษสูงสุดในคดีคือจำคุกไม่เกิน 10 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า น.ส.ไพลิน กองพันธ์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน พร้อมด้วยผู้อำนวยการกองสวัสดิการและสังคม และนักสังคมสงเคราะห์เทศบาลเมืองหัวหิน รุดไปตรวจสอบมูลนิธิที่เกิดเหตุ พร้อมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าตรวจสอบสถานที่ตั้งของมูลนิธิดังกล่าว โดยพบว่าวันนี้ปิดทำการ

น.ส.ไพลิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่ามูลนิธิดังกล่าวยังไม่ได้จดทะเบียนขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เคยได้พูดคุยกับตัวเทนของมูลนิธินี้ และระบุว่าเป็นเพียงสำนักงานสาขาหนึ่งเท่านั้น โดยมีที่ตั้งกระจายอยู่ตามต่างจังหวัด ซึ่งเทศบาลเมืองหัวหินจะร่วมกับหน่วยงานปกครองอำเภอหัวหิน และ พมจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการเข้ามาตรวจสอบและให้ดำเนินการให้ถูกต้อง รวมทั้งจะต้องเข้ามาดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้อีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน