วันที่ 19 พ.ย. ที่ บก.สส.ภ.5 พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.จารึก ลิ้มสุวรรณ ผบก.สส.ภ.5, นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รอง ผวจ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการตรวจยึดอาวุธสงครามครั้งใหญ่และการจับกุมตัวผู้ต้องหาพัวพันในคดี 2 คน คือนายประชัน จะวะนะ และ นายอัครา ภัทรทวีกุล อายุ 51 ปี พร้อมของกลาง อาวุธปืน, เครื่องกระสุน, ระเบิดมือ หัวจรวด เครื่องยิงจรวด และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับอาวุธสงคราม, กระสุนปืนอาก้ากว่า 1 พันนัด, พานท้ายปืนเอ็ม16 และอะไหล่ปืนเอ็ม16 อีกจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ร่วมกับทหารจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน นำกำลังบุกตรวจค้นบ้านเป้าหมายเลขที่ 131 หมู่ 2 บ้านจำขี้มด ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน พร้อมตรวจยึดอาวุธปืน, เครื่องกระสุนปืน, ระเบิดมือ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับอาวุธสงครามจำนวนมาก จากนั้นในวันเดียวกันได้ขยายผลการตรวจค้นบ้านเลขที่ 166/5 หมู่ 7 ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางเพิ่มเติมเป็นลูกปืนอาก้ากว่า 1 พันนัด, พานท้ายปืนเอ็ม16 และอะไหล่ปืนเอ็ม16 อีกจำนวนหนึ่ง

พล.ต.ท.พูลทรัพย์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สืบทราบได้ว่า นายประชัน มีพฤติกรรมชอบพกพาอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนข่มขู่ประชาชน จนมีคนร้องเรียนมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นจึงได้ลงพื้นที่สืบสวนติดตามและเข้าตรวจค้นบ้านพักของ นายประชัน จนนำไปสู่การตรวจยึดอาวุธสงครามได้ดังกล่าว

จากการสอบสวนนายประชัน ให้การรับสารภาพโดยอ้างว่า ของกลางดังกล่าว นายอัครา ปัจจุบันทำงานที่ปางช้างแม่วาง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ นำมาฝากไว้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน โดยนายอัครา ได้ติดต่อขอนำอาวุธมาฝากไว้โดยขนอาวุธมาในรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ สีเทาดำ เพื่อเตรียมจะนำอาวุธไปส่งในพื้นที่ชายแดน อ.เวียงแหง หรือ อ.ฝาง หรือ ในพื้นที่หนองอุก บ้านอรุโณทัย ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จึงได้ขยายผลติดตามจนสามารถจับกุมตัว นายอัครา ซึ่งนายอัครา ก็อ้างว่า อาวุธสงครามที่ดังกล่าวเป็นของ “นายแสง” อายุ 37 ปี ชาวไทใหญ่ ซึ่งตนได้รับฝากไว้ และที่ผ่านมาได้เคยรับฝากกับ “นายแสง” มาแล้วถึง 3 ครั้ง

พล.ต.ท.พูลทรัพย์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน รวมไปถึงการตรวจยึดของกลางทั้งหมดนั้น เป็นการจับกุมในคดีที่เกี่ยวกับการลักลอบขายอาวุธสงครามเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมืองแต่อย่างใด โดยจากการสอบถามทางผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เบื้องต้นทราบว่า ทั้ง 2 คนนี้เป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว โดยได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยว หรือเป็นไกด์ทัวร์ จึงคาดว่าน่าจะทำให้เป็นช่องทางในการไปรู้จักกับกลุ่มค้าขายอาวุธหรือคนชนกลุ่มน้อย และนอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มขบวนการนี้น่าจะยังมีผู้ต้องหาที่ลอยนวลอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้เร่งดำเนินการสอบสวนเพื่อขยายผลการจับกุมเพิ่มเติมต่อไป

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน