หดหู่ 5ชีวิต เร่ร่อนนอนข้างถนน ลูกติดยาเผาบ้านไม่เหลือ ขู่พ้นโทษจะกลับมาเอาชีวิตยกครัว ชะตากรรมสุดสลด สังคมซ้ำเติม ตอกย้ำว่าเป็นครอบครัวมีเชื้อโควิด

วันที่ 8 ธ.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบเรื่องราวชีวิตชะตากรรมครอบครัวหนึ่ง มีหญิงชราสูงวัยอายุ 86 ปี และหนูน้อย 3 ขวบ รวม 5 ชีวิต หอบข้าวของหนีออกจากบ้าน มาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ข้างถนน สายชัยภูมิ-สีคิ้ว พื้นที่บ้านโคกแพงพวย ต.ละหาน ช่วงรอยต่อเขต อ.เมืองและอ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ

เบื้องต้นจากการพูดคุยสอบถาม นางนาฏ โชคศิริ อายุ 58 ปี ให้ข้อมูลว่า ตนและ แม่อายุ 86 ปี และหลานอีก 3 คน ต้องระหกระเหินเร่ร่อนมาอาศัยอยู่บนที่ดินซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของใคร พร้อมเป็ดไร่ทุ่งอีก 1 ฝูง ที่พอประทังชีวิตในการนำไข่ไปขาย เป็นรายได้เลี้ยงสมาชิกในครอบครัว

นางนาฏ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ ตนและสมาชิกในครอบครัว ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการกระทำของลูกชายที่ติดยา เดิมที ครอบครัวตนมีภูมิลำเนาเป็นคน ต.หนองนาแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ แต่หลังจากที่ลูกชายคนโต เริ่มมีอาการคุ้มคลั่งจากการเสพยา ความสุขในครอบครัวก็เริ่มหายไป จนกระทั่งเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ลูกชายคนโตมีอาการเมายา ขู่จะทำร้ายผู้คนในครอบครัวและขู่จะเผาบ้าน

ตนเองและสมาชิกในครอบครัวจึงเกิดความกลัว จึงรีบออกมาเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไประงับเหตุดังกล่าว เวลาผ่านไปไม่นาน ย้อนกลับไปที่บ้านอีกครั้งพบว่าลูกชายคนโตได้ทำการเผาบ้าน กลายเป็นภาพที่สุดสลดให้กับทุกคนในครอบครัวต้องยืนดู บ้านที่เคยอยู่อาศัย ถูกเพลิงเผาวอดวายจากน้ำมือลูกชายที่ติดยา จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน คว้ามาได้เพียงผ้าอ้อมของหลานคนเล็ก ที่อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น

นางนาฏ เล่าต่อว่า เหตุการณ์ในวันนั้นสร้างความเสียใจให้กับสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างมาก ด้วยความตอกย้ำคำพูดของลูกชายก่อนถูกดำเนินคดี หากพ้นโทษออกมาจะกลับมาเอาชีวิตทุกคน ตนพร้อมสมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องตกอยู่ในความหวาดผวา ไม่กล้ากลับไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ดินของตนเองอีกต่อไป รวมถึงคนรอบข้างที่มาตอกย้ำครอบครัวของตนอีกว่า เป็นครอบครัวที่มีเชื้อโควิด จึงตัดสินใจหนีออกมา พร้อมต้นทุนชีวิตคือเป็ดตล่ทุ่ง 1 ฝูง ก็พอได้เก็บไข่ขายไปวันๆเท่านั้น

ปัจจุบันนี้สมาชิกในครอบครัวเหลือเพียงแม่ที่อายุ 86 ปี และหลานคนโตอายุ 16 ปี ที่ไม่ได้รับการศึกษาแล้ว แต่เมื่อถามความรู้สึกลึกๆแล้วก็ยอมรับว่า อยากที่จะเรียนต่อแต่ด้วยสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไปจึงไม่มีโอกาส ส่วนหลานคนกลางอายุ 15 ปี ต้องย้ายที่เรียนไปอยู่บ้านญาติ เข้าเรียนชั้น ม. 3 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอ.หนองบัวระเหว และหลานสาวคนเล็กสุด 3 ขวบ ยังอยู่ในการดูแลของตนเอง การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปด้วนความตากตำ

และมีคำปลอบใจกันอยู่ทุกวันเพื่อให้เป็นการสร้างกำลังใจให้กันและกันในการดำรงชีวิต การอยู่อาศัยบนพื้นที่ของใครก็ยังไม่ทราบ จึงมีความจำเป็นที่ต้อง ฝืนทำทุกวิถีทางให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการหลับนอน การกินอยู่ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก มีเพียงเต็นท์และผ้าใบกางกันลม ด้านน้ำอาหารก็ต้องไปขอจากวัดหรือตักใช้ในแหล่งน้ำซองดินคันนา ที่ยังพอมีน้ำขังหลังจากน้ำท่วมชัยภูมิที่ผ่านมา นำมาใช้อุปโภคบริโภคและใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น

นางนาฏ โชคสิริ ยอมรับว่ารู้สึกสงสารทุกคนในครอบครัว แต่ก็ไม่กล้าที่จะกลับไปใช้ชีวิต ในบ้านที่ตนเองเคยอยู่อาศัยกันอย่างมีความสุข เพราะทุกคนในครอบครัวตอนนี้ยังรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากดีกว่ากลับไปผวากับเหตุการณ์ในวันวาน

จากภาพเหตุการณ์ที่พบในวันนี้ การใช้ชีวิตริมทางกับ 1 ครอบครัว หญิง 5 ชีวิตต้องสู้ทน คงจะต้องทนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ การย้ายถิ่นฐานก็อาจจะเป็นไปตามการหาแหล่งเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งให้มีแหล่งอาหารการกินเพื่อที่จะนำไข่เป็ดเอาไปขายเป็นรายได้ประจำวัน โดยยอมรับว่าชีวิตหลังจากนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องระหกระเหินไปอย่างไร และยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลช่วยเหลือ จึงต้องตัดสินใจสู้และทน กับชะตากรรมมรสุมชีวิตเช่นนี้ต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน