เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่สภ.ห้วยเม็ก นายพิบูรณ์ คำแหงพล ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน พร้อมด้วย นายพูนพิพ์ฒน์ เรืองแสน ตัวแทนศิษย์เก่า และ ชาวบ้าน 56 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ ยุทธศรี รองผกก.สส.สภ.ห้วยเม็ก ให้เร่งติดตามตัว คณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูของโรงเรียน 7 คน จากทั้งหมด 9 คน เนื่องจากเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ที่ยักยอกเงินฝากของชาวบ้าน ผู้ปกครอง และนักเรียนไปพร้อมดอกเบี้ยราว 10 ล้านบาท ให้เข้ามาไกล่เกลี่ยกับกลุ่มผู้เสียหาย หลังจากที่พยายามบ่ายเบี่ยงและหลบหนีออกจากพื้นที่ โดยก่อนหน้า กลุ่มผู้เสียหายได้ร้องเรียนไปยัง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ พร้อมยื่นหนังสือร้องทุกข์ ผ่านนายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายอำเภอห้วยเม็ก และเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.อัศวิน หงษ์โยธี รองสว.(สอบสวน) สภ.ห้วยเม็ก

นางคำตัน นามโคตร อายุ 68 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า เริ่มนำเงินฝากไว้กับสหกรณ์ของโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มมีการจัด เมื่อปี 2539 เพื่อฝากเงินให้ลูก ตามคำชักชวนของคณะครูที่เป็นคณะกรรมการ ที่ผ่านมาไม่เคยถอนเงินจากบัญชี นอกจากจะนำเงินมาฝากสะสมเพิ่มขึ้น หลักฐานการฝากมีเพียงสมุดประจำตัวเท่านั้น จนถึงปัจจุบันมีถึง 5 บัญชี ทั้งบัญชีของตนและบัญชีของลูกหลาน ซึ่งตนจะเป็นคนนำฝากทุกปี โดยจะนำเงินที่ได้จากเบี้ยผู้สูงอายุของตน เบี้ยยังชีพคนพิการของหลานและเงินที่เก็บหอมรอบริบจากการส่งเสียของลูกมาฝาก จนมียอดเงินต้นสะสมอยู่ที่ 180,000 บาท โดยหวังว่า จะนำเงินที่สะสม ออกมาใช้ในยามเจ็บป่วยหรือยามจำเป็น ต่อมาพอตนทราบว่า คณะกรรมการของสหกรณ์ได้เออร์ลี่ออกจากครูพร้อมยักยอกเงินไป ก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจมาก จึงรวมตัวกับผู้เสียหายรายอื่นมาแจ้งความกับตำรวจ

ด้านนายอัมพร นระศรี อายุ 64 ปี ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า ตนเป็นอีกคนที่นำเงินฝากให้ลูกหลาน รวม 3 บัญชี ที่ผ่านมาไม่เคยถอนเงินออกมา ถึงแม้จะย้ายที่อยู่คนละอำเภอ ก็นำมาฝากออมเพื่ออนาคตของลูกหลาน ที่ผ่านมาตนยังเคยถูกคณะกรรมการ ชักชวนให้นำเงินมาฝากเพิ่มขึ้นเพื่อระดมทุน ในการนำไปปล่อยกู้ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาทต่อเดือน หรือร้อยละ 24 บาทต่อปี บางครั้งถึงกับต้องกู้เงิน ธ.ก.ส.มาฝาก เพื่อหวังเงินปันผล จนถึงปัจจุบันมีเงินฝากสะสมถึง 350,000 บาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย แต่แล้วก็มาเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ตนหวังเพียงอยากให้คณะกรรมการเข้ามาไกล่เกลี่ยพร้อมนำเงินที่ได้ฝากไว้กับสหกรณ์มาคืน

ขณะที่ ร.ต.ท.อัศวิน เปิดเผยว่า เบื้องต้นให้ทางกลุ่มผู้เสียหายลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน สำหรับพฤติกรรมของคณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทางตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหาไว้ เนื่องจากต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดเสียก่อน ว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นจะเข้าข่ายความผิดฐาน ฉ้อโกง หลอกลวง หรือยักยอกทรัพย์ ทางเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนต่อในเชิงลึกต่อไปพร้อมออกหมายเรียกคณะกรรมการที่ยังมีชีวิตอยู่มาสอบปากคำให้เร็วที่สุด เพราะเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทั้งนี้จากการตรวจสอบหลักฐานในเบื้องต้น พบว่ามีข้าราชการอีกหลายคนที่หลงเชื่อกู้เงินจากสถาบันการเงินมาร่วมลงทุนปล่อยกู้กับสหกรณ์ มีบางราย กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูมาฝากกับสหกรณ์ออมทรัพย์โรงเรียนสูงถึง 1,200,000 บาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน