นักวิชาการ ชี้นโยบายแจก “โน้ตบุ๊ก” น.ร.ไม่ตรงปก จี้นำร่อง “ร.ร.ระดับล่าง” แทน “โรงเรียนคุณภาพ” ห่วง “ศธ.-สพฐ.” ทำเองเจ๊ง แนะ “นายกฯ” ตั้ง กก.ระดับประเทศขับเคลื่อน
28 พ.ย. 66 – ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ปรับนโยบายแจกแท็บเล็ตมาเป็นโน้ตบุ๊ก โดยเริ่มนำร่องแจกนักเรียนชั้นมัธยมปลาย โรงเรียนคุณภาพ ในปี 2568 นั้น
มองว่านโยบายนี้ไม่ตรงปก กับที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เคยหาเสียงไว้ คือ Free tablet for all โครงการ 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต และโครงการ 1 ครู 1 แท็บเล็ต เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาผ่านออนไลน์ มองว่านโยบายนี้ทำได้เพียง 30% จากที่เคยหาเสียงไว้เท่านั้น โดยมีความเหมือนกับนโนบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่เดิมได้ทุกคน สุดท้ายปรับเกณฑ์ ทำให้มีทั้งคนที่เข้าเกณฑ์ และไม่เข้าเกณฑ์
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า คิดว่านโยบาย Free tablet for all ของ พท.เป็นนโยบายที่ใหญ่ ใช้งบประมาณเยอะ แต่ปัจจุบันถูกลดขนาด จำกัดให้นักเรียนมัธยมปลายเท่านั้น นโยบายถูกลดความสำคัญ ดูแล้วไม่มีความยั่งยืน ซึ่งกลัวว่าจะเหมือนนโยบายตามน้องกลับมาเรียน ที่รัฐบาลชุดก่อนผลักดันมา แม้เป็นนโยบายที่ดี แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล กลับไม่มีใครพูดถึงนโยบายนี้ ทั้งที่ขณะนี้มีเด็กกว่า 1.2 ล้านคน ใกล้หลุดออกจากระบบการศึกษา ดังนั้น หากเปลี่ยนรัฐบาล และเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการ ศธ.นโยบาย Free tablet for all ก็อาจถูกทิ้ง ถูกเปลี่ยนอีก เป็นการสูญเสีย และสูญเปล่าครั้งใหญ่ทางการศึกษา
“สังคมไทยเรา มีเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เอามาบทเรียนทางศึกษาได้ ตั้งแต่การแจกแท็บเล็ตในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนโยบายที่ลงทุนมากมายมหาศาล แต่กลับถูกยกเลิก และแท็บเล็ตที่ได้มา กลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากมายมหาศาล
นอกจากนี้ ต้องเรียนรู้ว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ที่โรคโควิด-19 ระบาด เกิดปัญหาคุณภาพการศึกษา และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ เป็นความเจ็บปวดทางการศึกษาใหญ่มาก แต่กลับทำเป็นว่าไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ผมคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้ ให้บทเรียนสำคัญทางการศึกษา คนเป็นนักการเมือง คนที่เป็นรัฐมนตรี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ 1. พท., พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคร่วมรัฐบาล ต้องคุยกันให้ดี เพราะไม่ใช่เรื่องพรรคการเมือง แต่เป็นนโยบายสาธารณะ เป็นเรื่องหลักการที่เกี่ยวข้องกับโลกการเรียนรู้สมัยใหม่
ที่สำคัญ ไม่ควรจะมอบให้ ศธ. และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการเอง เพราะจะเจ๊ง และสูญเปล่าอีกครั้ง เรื่องนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง มองว่ารัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการระดับประเทศขึ้นมาพิจารณา โดยคณะกรรมการชุดนี้มาจากหลายฝ่าย นายกฯ เป็นผู้แต่งตั้ง และให้ผลักดันเรื่องสำคัญต่างๆ
2. วางโครงสร้างระบบ และรากฐานดิจิทัลแพลตฟร์อมของประเทศ ถ้าวางรากฐานดิจิทัลแพลตฟร์อมจากกระทรวงอื่นๆ ได้ และคอนเทนต์ที่เป็นไทย และสากล ที่สำคัญต้องสร้างทักษะความเข้าใจ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี หรือ Digital Literacy ให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และตัวเด็ก ไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะไม่ทันการใช้เทคโนโลยีเท่ากับเด็ก ดังนั้น ควรสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบครอบครัวไทยด้วย
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า 3. ไม่เห็นด้วยที่จะผลักดันนโยบายนี้ให้เด็กที่มีความพร้อม ต้องทำจากโรงเรียนระดับล่าง ควรผลักดันโครงการนี้ในโรงเรียนขยายโอกาส หรือโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อที่จะทราบปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ตรงไหน และควรแก้ไขอะไรต่อไป ไม่ใช่ผลักดันนโยบายนี้ในโรงเรียนที่พร้อมอยู่แล้ว เพราะจะไม่รู้ปัญหาข้อเท็จจริง
และ 4.สาระของเนื้อหา ไม่ควรเน้นเนื้อหาวิชา 8 กลุ่มสาระ โดยเนื้อหาควรเป็นไทย และสากล เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเปิดให้เด็กเข้าถึงได้ มีความปลอดภัย สามารถใช้เรียนรู้ตามความถนัด และความสามารถของตนเอง
“อย่ามองเพียงแจกของ แจกแท็บเล็ต เพราะจะกลายเป็นนโยบายประชานิยม ที่เน้นแจก เน้นให้ เป็นนโยบายชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งไม่ใช่ตัวแก่นสาระของการปฏิรูปการเรียนรู้ แต่ควรจะวางรากฐานการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีควบคู่กันไปด้วย” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว