หมดอาลัยตายอยาก! ชาวบ้านช็อก กู้เงิน ธ.ก.ส. แค่ 5 แสน ปีเดียวหนี้พุ่ง 3 ล้าน แฉพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ทำแบบนี้มันพิรุธ เผยย้ายไปอีกที่ก็สร้างเรื่อง ธนาคารปัดรับผิดชอบ ให้ไปไล่บี้คนทำเอง
วันที่ 5 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มชาวบ้านใน ต.กู่กาสิงห์ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด นำโดย นายสุเชิด ชัยชาญ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 เดินทางเข้าร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดร้อยเอ็ด
โดยมี พ.ต.ท.บุณถิ่น วันภักดี อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดร้อยเอ็ด นายชานนท์ ลิขิตบัณฑูร ประธานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการภาค 4 และคณะร่วมสอบถามปัญหา เบื้องต้นทราบจากชาวบ้านว่าได้ไปยื่นเรื่องขอกู้เงินกับ ธ.ก.ส.สาขาเมืองบัว คนละไม่กี่แสน แต่กลับกลายเป็นหนี้รายละ 1- 3 ล้านบาท และยังมีชาวบ้านอีกหลายรายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน
นายพัลลภ อายุ 45 ปี บอกว่า ที่มาวันนี้เพราะตนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากเคยไปยื่นกู้เงินจาก ธ.ก.ส. สาขาเมืองบัว จำนวน 550,000 บาท ช่วงเดือน พ.ย.2564 ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ธนาคารสาวรายหนึ่ง เป็นคนพาดำเนินการและให้ตนเซ็นในเอกสาร ซึ่งตนเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารต้องทำตรงไปตรงมา จึงมีความมั่นใจ จากนั้นมารู้ตัวอีกทีปี 2565 ธนาคารมีใบแจ้งหนี้มาว่าตนเป็นหนี้ 1 ล้านบาท จึงเข้าไปติดต่อที่ธนาคาร ทีแรกธนาคารบอกจะแก้ไขและเยียวยาให้
ต่อมาวันที่ 10 ต.ค.67 ได้มีหนังสือ แจ้งชาวบ้านเพื่อรับฟังการประชุมชี้แจงเรื่องขอเยียวยา กรณีพนักงานพัฒนาธุรกิจ 7 กระทำผิดวินัยของธนาคาร ทุจริตต่อหน้าที่และจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของธนาคาร ในวันที่ 16 ต.ค. แต่ผลการพิจารณาทราบว่า ธนาคารไม่รับผิดชอบให้ไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ธนาคารรายดังกล่าวเอง จึงคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทุกอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารเป็นผู้ดำเนินการให้
ขณะที่ นายทองมี ชาวบ้านต่องต้อน ต.กู่กาสิงห์ เปิดเผยว่า ทีแรกจะไปติดต่อธนาคารว่าจะเอาที่ดินไปจำนอง เพื่อกู้เงินมาทำโคกหนองนา และซื้อโคมาเลี้ยง ก็พบเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวมาแนะนำและบอกขั้นตอนการยื่นขอกู้ในเอกสาร ซึ่งตนตั้งเป้าจะกู้ประมาณ 500,000 บาท จึงได้เซ็นชื่อในเอกสารตามคำแนะนำ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมาบอกว่าจะมีเงินเข้าก่อน 1 ล้านบาท และได้พาตนไปเบิกคืนให้ที่สาขาเกษตรวิสัย
ที่ผิดสังเกตเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวทำไมไม่เบิกเงินในสาขาที่ตนอยู่ แต่คิดอีกทีหรือสาขาเขาไม่มีเงินเพียงพอ โดยยอดแรก 1 ล้าน ยอดที่ 2 จำนวน 4 แสน ยอดที่ 3 จำนวน 3 แสน แต่ละครั้งบุคคลดังกล่าวจะให้ตนเบิกออกไปให้ทุกครั้ง มียอดเงินผ่านในบัญชีของตนรวม 1,700,000 บาท แต่ในใบแจ้งหนี้บอกว่าตนเป็นหนี้ 3 ล้านเศษ และหนี้ของตนจริงๆ ธนาคารก็รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพราะมีสัญญาอยู่ เป็นหนี้แค่ 750,000 บาท ธนาคารเตือนมาให้ไปชำระ ตนก็ไปตัดดอกทุกปี เรื่องที่เกิดขึ้นหมดอาลัยตายอยาก
ส่วน นางบัวไข ชาวบ้านหนองเบญ กล่าวว่า ตนตั้งใจจะเอาที่ดินไปจำนองกับธนาคารและขอกู้ 2 แสนบาทเพื่อต่อเติมบ้าน เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวบอกว่า ที่ดินที่มีอยู่เพียง 2 งานไม่สามารถจะกู้ได้ขนาดนั้น เขาก็เลยแนะนำว่า จะมีโครงการสมทบทุนซื้อรถแทรกเตอร์ล้อยาง สนใจหรือไม่ เพราะจะได้เอาเงินเข้าให้ตามที่ต้องการ คิดว่าคงไม่มีปัญหาจึงกรอกเอกสารยื่นเรื่องวันที่ 24 พ.ย.64 เพียงข้ามวันก็มีเงินเข้ามาในบัญชี 1,100,000 บาท
เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวบอกว่าจะพาไปเบิกที่ ธ.ก.ส.สาขาเกษตรวิสัย ตนจึงได้ไปเบิกครั้งแรก 927,000 บาท และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่รายดังกล่าว เรื่องที่เกิดขึ้นถามชาวบ้านหลายคนก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กัน เมื่อไปสอบถามกับธนาคารก็บอกว่าให้ไปไล่เอากับเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวเอง ธนาคารไม่รับผิดชอบ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวได้ย้ายไปสาขาอื่นแล้วจึงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
ขณะที่ พ.ต.ท.บุณถิ่น กล่าวว่า ทราบจากรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.รายดังกล่าวได้ย้ายไปที่ ธ.ก.ส.สาขาโพนทอง และมีชาวบ้านในพื้นที่ ต.พรมสวรรค์ อ.โพนทอง ได้รับผลกระทบในลักษณะคล้ายกันกว่า 20 ราย เคยรวมตัวกันเรียกร้องขอความช่วยเหลือเยียวยาจาก ธ.ก.ส.มาแล้ว เมื่อเดือน ก.ย.65
หลังจากนี้จะได้รวบรวมข้อมูลไว้พิจารณาว่า การที่พี่น้องประชาชนไปทำธุรกรรมกับทางธนาคาร บางครั้งเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส โดยปกติเจ้าหน้าที่ธนาคารควรให้บริการและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ตรงไปตรงมา ไม่ควรสร้างปัญหาให้เกิดแก่ประชาชน เรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลของการทำงาน จะได้แจ้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน มาให้ข้อมูลว่ามีผู้เดือดร้อนมากน้อยเท่าไหร่ และจะประสานกับธนาคาร ให้มาตอบคำถามชาวบ้านให้ชัดเจนอีกครั้งว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่ถ้าหากเรื่องไม่จบ เราก็จะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อไป