ปัญหากองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลนับเป็นหนึ่งในปัญร้ายแรงที่สุดของประเทศโคลอมเบีย ชาติละตินอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรม อาท ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ค้ายาเสพติด และดักปล้นสดมภ์ ซึ่งรัฐบาลโคลอมเบียพยายามแก้ไขมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 50 ปี
ล่าสุด ฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติโคลอมเบีย หรือฟาร์ก กองกำลังกบฏที่ทรงอำนาจที่สุดของประเทศ ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ เมื่อวันที่ 26 ก.ย.
ความสำเร็จนี้เป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของทั้งประเทศและทวีปอเมริกา เพราะถือเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษของโคลอมเบีย และมหาสงครามกลางเมืองสุดท้ายในทวีปอเมริกาเหนือจรดใต้ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 260,000 ราย หายสาปสูญ 45,000 คน และพลัดถิ่นอีกกว่า 6.9 ล้านคน
ประธานาธิบดีฆวน มานูเอล ซาโตส ผู้นำโคลอมเบีย กล่าวในพิธีเปิดพร้อมให้การต้อนรับนายร็อดริโก ลอนโดโน ผู้นำกลุ่มฟาร์ก ฉายา “ติโมเชนโก” และคณะผู้แทนอย่างอบอุ่น โดยทั้งหมดแต่งกายในชุดขาวเพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง “สันติภาพ” ร่วมลงนาม ท่ามกลางเสียงปรบมือและโห่ร้องดีใจจากผู้ร่วมงาน
พิธีประวัติศาสตร์นี้จัดขึ้นที่เมืองคาร์ตากีนา ติดทะเลแคริบเบียนอันงดงาม เป็นความสำเร็จจากกระบวนการเจรจาสันติภาพอย่างหลังขดหลังแข็งระหว่างทั้งสองฝ่ายนานกว่า 4 ปี
“พวกเราเหมือนกับเกิดใหม่ ถือเป็นการเริ่มของยุคใหม่แห่งความปรองดองเพื่อสร้างสันติภาพ ในนามของกลุ่มฟาร์ก ตนขอใช้โอกาสนี้กล่าวขอโทษเหยื่อจากความขัดแย้ง และความทุกข์ทรมานที่ทางกลุ่มได้ก่อขึ้นตลอดช่วงการสู้รบที่ผ่านมา ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า ทางกลุ่มฟาร์กจะเข้าสู่สนามรบทางการเมืองโดยไม่ใช้อาวุธ เพราะกลุ่มฟาร์กวางอาวุธแล้วทั้งตัวและหัวใจ” นายลอนโดโนกล่าว
ด้านประธานาธิบดีซาโตส กล่าวถึงบรรดาสมาชิกกลุ่มติดอาวุธฟาร์กว่า เมื่อทุกคนกลับบ้านเกิดภูมิลำเนาอันเป็นส่วนหนึ่งของชาติที่พวกเราทุกคนหวงแหน
ขอต้อนรับทุกคนกลับสู่ประชาธิปไตย ระบอบที่ทำให้คนหันมาการใช้กระสุนจริงห้ำหั่นกันมาเป็นการต่อสู้ตัดสินการด้วยการใช้สิทธิลงคะแนนเสียง ถือเป็นวิธีการที่กล้าหาญและชาญฉลาดที่สุดที่กลุ่มติดอาวุธใดในโลกจะหันมาเลือกเดิน
พิธีลงนามครั้งประวัติศาสตร์นี้บุคคลสำคัญและแขกผู้มีเกียรติเดินทางมาร่วมเป็นสกขีพยานอย่างคราคร่ำกว่า 2,500 คน อาทิ นายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นายปีเญโตร ปาโรลิน เลขาธิการสำนักวาติกัน พร้อมด้วยบรรดาผู้นำประเทศกลุ่มละตินอเมริกาใต้อย่างคิวบา และเวเนซุเอลา
พิธีปิดฉากลงด้วยฝูงบินเกียรติยศ บินผ่านเหนือบริเวณพิธีเพื่อแสดงความเคารพต่อสันติภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นในครั้งนี้