เมื่อวันที่ 22 ส.ค. บีบีซีรายงานเบื้องหลังเหตุการณ์ที่มกุฎราชกุมารแห่งงประเทศเดนมาร์กทรงถูกปฏิเสธไม่ให้เสด็จเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งในเมืองบริสเบน ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังพระองค์ไม่มีเอกสารที่ยืนยันตัวตนของพระองค์

แฟ้มภาพเจ้าชายเฟรเดริกและครอบครัว Scanpix Denmark/Liselotte Sabroe/via REUTERS

ทั้งนี้ ด้วยกฎเข้มงวดของรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย บุคคลต้องมีหนังสือเดินทางหรือใบขับขี่เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าไปยังสถานที่ขายเครื่องดื่มมึนเมาในเวลาหลังเที่ยงคืน กฎดังกล่าวทำให้มกุฎราชกุมารเฟรเดริก พระชนมายุ 49 พรรษา จากราชอาณาจักรเดนมาร์กว่าไม่สามารถเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งได้เนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนของพระองค์

ต่อมาทางคณะผู้ติดตามเผยว่ามกุฎราชกุมารจากเดนมาร์กเข้าไปในบาร์แห่งนั้นได้ในที่สุด เมื่อได้รับความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาถวายการอารักขาตามระเบียบทางการทูต และเจ้าหน้าที่รัฐออกหนังสืออนุญาตให้กับมกุฎราชกุมารในการเว้นการใช้บัตรหรือเอกสารยืนยันตน

มกุฎราชกุมารเดนมาร์ก / Scanpix Denmark/Liselotte Sabroe/via REUTERS

เว็บไซต์บริสเบนไทมส์รายงานโดยอ้างคำพูดของนายแบรตต์ เฟรเซอร์ ซีอีโอของบริสเบนมาร์เก็ตติ้ง ที่ทำหน้าที่เสนอภาพลักษณ์ให้เมืองในวันเดียวกันว่า ตนเข้าใจถึงความสำคัญและความปลอดภัย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับมกุฎราชกุมารเป็นเรื่องสร้างภาพไม่ค่อยดีนักให้กับเมือง

พร้อมกันนี้ยังมีรายเพิ่มว่าทางคณะของมกุฎราชกุมารได้เข้ามาในบาร์ที่ชื่อว่าเจด บุดด้า ก่อนช่วงเที่ยงคืนและออกจากร้านไป ต่อมาไม่ถึง 15 นาทีทางคณะของมกุฎราชกุมารก็กลับมาที่ร้านแห่งนี้อีกจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐควีนส์แลนด์ช่วยเหลือ ซึ่งนายฟิล โฮเกน เจ้าของร่วมบาร์ดังกล่าวถึงกับกล่าวว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากกฎหมาย

“กฎหมายงี่เงา พวกเราคิดมาตลอดว่ากฎหมายอันนี้เป็นเสมือนฝันร้าย” นายโฮเกนกล่าว

สำหรับมกุฎราชกุมารเฟรเดอริกเป็นที่รู้ทั่วไปว่าได้พบรักกับพระชายาเมรี่ที่ผับแห่งหนึ่งในนครซิดนีย์ระหว่างมหกรรมกีฬาโอลิมปิกในปี 2543 และการเสด็จเยือนออสเตรเลียของมกุฎราชกุมารในครั้งนี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันเรือใบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน