เอเอฟพีรายงานวันที่ 19 ก.ย. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ด้วยถ้อยคำแข็งกร้าวต่อประเทศคู่อริ โดยเฉพาะเกาหลีเหนือ ทรัมป์เรียกนายคิม จองอึน ด้วยชื่อเล่นใหม่ที่เพิ่งตั้งให้ใหม่ในเชิงเย้ยหยันว่า “เดอะ ร็อกเก็ตแมน” หรือมนุษย์จรวด จากการที่นายคิมสั่งทดสอบยิงขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง
“สหรัฐอเมริกามีความแข็งแกร่งและอดกลั้นสูงมาก แต่ถ้าถูกบีบให้ป้องกันตนเองหรือพันธมิตรของเราแล้ว เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำลายเกาหลีเหนือให้ราบคาบ”
“นายมนุษย์จรวดกำลังอยู่บนเส้นทางของการฆ่าตัวเองและระบอบของเขาเอง สหรัฐอเมริกาพร้อมเสมอ ลงมือได้ทันที แต่หวังว่าคงจะไม่จำเป็น นั่นเป็นหน้าที่ของสหประชาชาติและเป้าประสงค์ที่ก่อตั้งสหประชาชาติขึ้น ก็รอดูแล้วกัน” นายทรัมป์กล่าวต่อผู้แทนชาติสมาชิกของยูเอ็น 193 ประเทศ
นอกจากนี้นายทรัมป์ยังกล่าวโจมตีรัฐบาลอิหร่านที่คิดจะละเมิดข้อตกลงจำกัดโครงการนิวเคลียร์ ดังนั้นขอให้ประชาคมโลกร่วมกับสหรัฐ เรียกร้องให้อิหร่านยุติแผนทำลายล้างฆ่าฟัน ภัยใหญ่ที่สุดที่คุกคามระบอบอิหร่านไม่ใช่กองทัพสหรัฐ แต่เป็นประชาชนอิหร่านเองที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
ในตอนท้าย นายทรัมป์ไม่ลืมย้ำถึงนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” แต่ยังกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกอื่นๆ มองเป็นตัวอย่างด้วย
“เราเคารพในอธิปไตยและเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติด้วย ประชาชนทั้งมวลสมควรมีรัฐบาลที่ห่วงใยความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชน เท่าที่ผมเข้ามาทำงาน ผมจะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาเหนืออื่นใด แต่ขณะเดียวกันผมก็จะแบกรับภาระหน้าที่ต่อประเทศชาติของเรา ซึ่งผลตระหนักว่า มันเป็นประโยชน์ของทุกคนที่มองถึงอนาคต ว่าทุกประเทศจะมีอธิปไตย ความมั่งคั่งและความปลอดภัย” ทรัมป์กล่าว
ผู้นำสหรัฐที่นิยมพูดจุดประเด็นอื้ออึง กล่าวถึงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐด้วยว่า จะบีบให้แคบลงตามผลประโยชน์ของอเมริกา
“มันนานเกินไปแล้วสำหรับชาวอเมริกันที่จะต้องมานั่งฟังว่า ข้อตกลงการค้าโบร่ำโบราณเหมือนแมมมอธ ผูกโยงประเทศต่างๆ มากมาย จนยุ่งเหยิงและกุมไว้ด้วยระบบราชการนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ ในเมื่อสัญญาแบบนั้นมันกลวง ทำให้ตำแหน่งงานหายไปเป็นล้านๆ แล้วโรงงานเป็นพันๆ แห่งก็หายไป”
สุนทรพจน์ดังกล่าวของทรัมป์ได้รับปฏิกิริยาที่ต่างกันไป เช่น นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีสายแข็งของอิสราเอล กล่าวชื่นชมว่า “นับจากที่ผมมายูเอ็นใน 30 ปีมานี้ ผมไม่เคยได้ยินสปีชที่ตรงไปตรงมา และกล้าหาญขนาดนี้เลย ประธานาธิบดีทรัมป์พูดความจริงเกี่ยวกับอันตรายที่โลกเผชิญอยู่ และเรียกร้องให้เผชิญหน้าเพื่อสร้างอนาคตของมนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม ที่สหรัฐ ไดแอน ไฟน์สไตน์ ส.ว.พรรคเดโมแครต ไม่เห็นด้วยกับวาทะของนายทรัมป์ เพราะยูเอ็นมีเป้าหมายสร้างสันติภาพให้แข็งแกร่งและสนับสนุนความร่วมมือของโลก แต่นายทรัมป์กลับใช้เวทีนี้ข่มขู่จะทำสงคราม
“เขาควรจะสร้างความสาสมัคคีกับโลก แต่กลับโดดเดี่ยวสหรัฐอเมริกายิ่งขึ้น” ส.ว.หญิงกล่าว