เอเอฟพีรายงานวันที่ 14 ต.ค. ถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงนำกำลังปราบปรามกองกำลังปลดปล่อยชาวอารกันโรฮิงยา (อาร์ซา) ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุเชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตร่วม 1,000 ราย และอีกกว่า 500,000 คนต้องอพยพหนีตายข้ามไปยังบังกลาเทศ

ทีมสอบสวนของกองทัพซึ่งนำโดยพลโทอ่าย วิน เจ้ากรมจเรกองทัพพม่า ระบุว่าเมื่อทีมสอบสวนได้ข้อมูลการตรวจสอบที่ครบถ้วนแล้ว จะเร่งแถลงผลการสอบสวนต่อสาธารณชนในทันที โดยการตรวจสอบจะมุ่งเน้นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ภายหลังยูเอ็น และประชาคมโลก กล่าวหาว่ากองทัพพม่ากวาดล้างชาติพันธุ์ รวมถึงวางแผนขับไล่ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงยาออกจากประเทศอย่างเป็นระบบ ด้วยการนำกำลังเข้าปราบปรามกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงยา จากนั้นลงมือเข่นฆ่า ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และจุดไฟเผาหมู่บ้าน ทำให้ชาวโรฮิงยาหวาดกลัวต้องหนีตายข้ามชายแดนไปยังบังกลาเทศ ก่อนจะวางทุ่นระเบิดตามตะเข็บชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวโรฮิงยากลับเข้าสู่พม่าอีกครั้ง

ขณะที่เพจเฟซบุ๊กของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด โพสต์ข้อความว่ากองทัพจะพ้นข้อครหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน “การสอบสวนพบว่าการดำเนินการของกองทัพเป็นไปตามกฎหมาย พยานจำนวนมากถูกสอบปากคำ เพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น มีผู้เสียชีวิตกี่ราย และการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน