ผู้ใช้รถเทสล่า เปิดระบบขับขี่อัตโนมัติ ไม่นั่งควบคุม รถเกิดเสียหลัก พุ่งหลุดโค้ง ชนต้นไม้ ไฟลุกท่วม จนท.กู้ภัยต้องโทรศัพท์หาเทสล่า เพื่อขอวิธีดับไฟ
Autoblog
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 64 สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน รายงานว่า ในคืนวันเสาร์ (17 เม.ย. 64) มีผู้โดยสารรถเทสล่า เปิดใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ แต่ไม่มีผู้นั่งอยู่ในเบาะคนขับ รถเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าชนต้นไม้ในเมืองฮุสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา และเกิดไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้น้ำจำนวนมากในการดับไฟ แต่เนื่องจากการดับไฟที่ลุกจากแบตเตอรี่ของรถเทสล่านั้น ต้องใช้วิธีการดับไฟที่แตกต่างจากไฟปกติ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงต้องโทรศัพท์ไปขอคำแนะนำจากบริษัทเทสล่าในการดับไฟ
Scott J Engle / DailyMail
ผู้โดยสารทั้งสอง โดยสารรถยนต์ เทสล่า โมเดล เอส รุ่นปี 2019 ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเปิดระบบขับขี่อัตโนมัติ แต่ไม่มีการนั่งควบคุมในเบาะคนขับ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น รถเสียหลักและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ เมื่อเวลาประมาณ 23.25 น. ของคืนวันเสาร์ (17 เม.ย. 64) และเกิดไฟลุกขึ้น โดยผู้โดยสารทั้งสองคนยังติดค้างอยู่ข้างในห้องโดยสารรถยนต์
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า จากการสอบสวนในที่เกิดเหตุพบว่า ‘ไม่มีผู้ขับรถ’ โดยพบว่าชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้า (ที่นั่งข้างคนขับ) และชายคนที่สอง นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมทั้งยังระบุว่า ยานพาหนะดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง และหลุดวิถีการเลี้ยว ทำให้รถพุ่งออกจากถนนและชนเข้ากับต้นไม้
Scott J Engle / DailyMail
เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้น้ำกว่า 32,000 แกลลอน (ประมาณ 120,000 ลิตร) เพื่อดับไฟ เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง เนื่องจากแบตเตอรี่ของรถยังคงลุกเป็นไฟ จนถึงจุดหนึ่ง เจ้าหน้าที่กู้ภัย จึงตัดสินใจโทรหา บริษัทเทสล่า เพื่อสอบถามและขอคำแนะนำวิธีในการดับไฟจากแบตเตอรี่ของรถเทสล่า
ขณะที่ สำนักบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอนเฮชทีเอสเอ) กำลังตรวจสอบภาวะขัดข้อง 23 ครั้ง ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เทสล่า โดยเชื่อว่ามาจากระบบขับขี่อัตโนมัติ ทั้งนี้ ระบบขับขี่อัตโนมัติของเทสล่า จะใช้ระบบตรวจจับและกล้องเพื่อตรวจตราสิ่งกีดขวางหรือยานพาหนะอื่น ๆ
Scott J Engle / DailyMail
นอกจากนี้ นาย อีลอน มักส์ ผู้บริหารของเทสล่า มอเตอร์ ได้ทวีตเมื่อวันเสาร์ (17 เม.ย. 64) ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ยานพาหนะที่ใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุต่ำกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับอุบัติเหตุโดยรถยนต์ทั่วไป
Elon Musk / Twitter
