เมื่อวันที่ 19 พ.ย. บีบีซีรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบขอบเขตอำนาจและขั้นตอนการสั่งปล่อยอาวุธนิวเคลียร์โจมตีของผู้นำสหรัฐอเมริกาโดยวุฒิสภาคองเกรส หลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือทวีความรุนแรง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐเคยขู่ว่าเกาหลีเหนือจะต้องพบกับการโจมตีด้วยไฟบรรลัยกัลป์ชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน หากตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ข่มขู่สหรัฐ ทำให้ชาวอเมริกันบางส่วนเกรงว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกคำสั่งดังกล่าวอย่างขาดความรับผิดชอบ เพราะเป็นคนมีนิสัยมุทะลุและไม่ค่อยยั้งคิด ถือเป็นการตรวจสอบอำนาจดังกล่าวของผู้นำสหรัฐครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยผู้บัญชาการศูนย์การโจมตีเชิงยุทธศาสตร์ (ยูเอสเอสซี) ระบุยืนยันกับวุฒิสภา ว่าหากคำสั่งโจมตีของผู้นำสหรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทางกองทัพสามารถปฏิเสธคำสั่งได้

พลอากาศเอก จอห์น ฮีเต็น ผู้บัญชาการยูเอสเอสซี กล่าวว่า ยูเอสเอสซี มีหน้าที่ให้คำแนะนำผู้นำสหรัฐในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมยืนยันว่าทางหน่วยงานตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวดี เพราะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรง หากคำสั่งของผู้นำสหรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนก็จะบอกกับประธานาธิบดีตรงๆ ว่าสิ่งนี้ผิดกฎหมาย จากนั้นผู้นำสหรัฐก็ต้องถามว่าแล้วแบบไหนถึงถูก ตนก็จะให้คำแนะนำถึงวิธีการอื่นแทน และย้ำว่าหากประธานาธิบดีออกคำสั่งโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายก็สามารถรับโทษจำคุกได้เช่นกัน

AFP PHOTO / Toshifumi KITAMURA

ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐมีอำนาจออกคำสั่งปล่อยอาวุธนิวเคลียร์โจมตีได้ โดยไม่ต้องผ่านที่ปรึกษา และทนายความใดๆ โดยสามารถออกคำสั่งผ่านกระเป๋าคอนโซลที่เรียกว่า “ฟุตบอล” ซึ่งจะถูกนำติดตัวผู้นำสหรัฐไปทุกสถานที่ โดยสาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เนื่องมาจากสหรัฐจะมีเวลาตอบโต้เพียง 15-30 นาทีเท่านั้นในกรณีตรวจพบการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากชาติอื่นมายังสหรัฐ ขณะที่นโยบายการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ของสหรัฐจะอาศัย 3 ช่องทางหลักประสานกัน เรียกว่า นิวเคลียร์ ไทรแอด ได้แก่ ทางบกด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป หรือไอซีบีเอ็มติดหัวรบนิวเคลียร์ ทางน้ำด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปจากเรือดำน้ำ หรือเอสแอลบีเอ็มติดหัวรบนิวเคลียร์ และทางอากาศด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ด้วยการยิงด้วยขีปนาวุธติดหัวรบ และทิ้งระเบิดนิวเคลียร์โดยตรง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน