เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. เพจเฟซบุ๊ก European Union in Thailand หรือ อียูประจำประเทศไทย เผยแพร่ข่าวสารว่าคณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (อียู) ตกลงที่จะปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทย รวมไปถึงด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และแผนการดำเนินงานสู่ประชาธิปไตย มีใจความว่า

ผลสรุปการประชุมของคณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรปเกี่ยวกับประเทศไทย (Council Conclusions on Thailand) วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2560 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the European Union) มีดังนี้

1. คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป ยังคงยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทย คณะรัฐมนตรีฯ เล็งเห็นถึงคุณค่าของบทบาทที่ประเทศไทยมีในฐานะประเทศผู้ประสานการเจรจาและสนับสนุนการขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศ อียู-อาเซียน (EU-ASEAN Dialogue Relations) ในปัจจุบัน

2. คณะรัฐมนตรีขอย้ำถึงข้อเรียกร้องให้ประเทศไทยมีการคืนสู่กระบวนการทางด้านประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยผ่านการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รวมถึงความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

3. คณะรัฐมนตรียังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง และเสรีภาพ ซึ่งได้ถูกลดรอนไปอย่างรุนแรงในประเทศไทยหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2557 เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมยังคงถูกจำกัดอยู่เป็นอย่างมาก ผ่านกฎหมายและคำสั่งของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลายฉบับ นอกจากนี้นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนยังคงเผชิญกับการคุกคามทางกฎหมาย

คณะรัฐมนตรีตอกย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพขั้นพื้นฐานดังกล่าวที่ต้องได้รับการฟื้นฟูขณะที่ประเทศไทยดำเนินการไปสู่ประชาธิปไตย และขอย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพขั้นพื้นฐานดังกล่าวซึ่งมีความเชื่อมโยงกับบทบาทของภาคประชาสังคมในระบอบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้สหภาพยุโรปจะยังคงสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนต่อไป

4. คณะรัฐมนตรีส่งเสริมให้ผู้มีอำนาจของไทยดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นระหว่างการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้กลไก UPR (Universal Periodic Review) ครั้งที่สองของประเทศไทย (พฤษภาคม 2016)

5. คณะรัฐมนตรีพึงสังเกตว่าการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ซึ่งระบุว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นภายใน 150 วันหลังจากมีการประกาศใช้กฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็น 4 ฉบับ

นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียังตั้งข้อสังเกตว่าการเตรียมความพร้อมในทางนิติบัญญัติเพื่อจัดการเลือกตั้งกำลังมีความคืบหน้าในบริบทนี้

คณะรัฐมนตรียอมรับแถลงการณ์ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งระบุว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561

คณะรัฐมนตรีเรียกร้องให้มีการประกาศใช้กฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เคารพกำหนดการการจัดการเลือกตั้งตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

6. คณะรัฐมนตรีตั้งข้อสังเกตถึงการตัดสินใจของผู้นำทางทหารในการลดการดำเนินคดีต่อพลเรือนในศาลทหารหลายคดีลง ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559 ทั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะรัฐมนตรีฯ เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจของไทยไม่ดำเนินคดีต่อพลเรือนในศาลทหาร ซึ่งรวมถึงความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

7. คณะรัฐมนตรีทบทวนผลสรุปการประชุมเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2557 ที่ระบุว่าสหภาพยุโรปตัดสินใจที่จะทบทวนความสัมพันธ์กับประเทศไทย และอาจจะพิจารณาดำเนินการมาตรการอื่นๆ ต่อไปตามสถานการณ์ เมื่อพิจารณาจากความคืบหน้าที่กล่าวไปข้างต้น คณะรัฐมนตรีจึงเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะเริ่มกลับมาปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทยอย่างช้าๆ

8. ดังนั้น คณะรัฐมนตรีตัดสินใจที่จะกลับเข้าสู่การติดต่อทางการเมืองในทุกระดับกับประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกการเจรจาในประเด็นที่มีความสำคัญร่วมกัน อันรวมถึงด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และแผนการดำเนินงานสู่ประชาธิปไตย สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะใช้จากการเจรจาติดต่อดังกล่าวอย่างเต็มที่เพื่อหยิบยกประเด็นข้อกังวลเหล่านี้

9. คณะรัฐมนตรีอยากเห็นความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นกับประเทศไทย หลังจากการจัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและการปรับปรุงของสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน สหภาพยุโรปหวังให้ผู้มีอำนาจของไทยจะดำเนินการให้ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมสามารถทำงานได้อย่างเสรี

10. ในบริบทนี้ คณะรัฐมนตรีขอให้คณะกรรมาธิการยุโรปสำรวจความเป็นไปได้ในการกลับมาเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรป-ไทย (EU-Thailand Free Trade Agreement)

11. การลงนามในกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ (Partnership and Cooperation Agreement – PCA ) และการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศไทย จะสามารถดำเนินการได้กับรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

12. คณะรัฐมนตรีย้ำอีกครั้งว่าจะยังคงพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์กับประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับประเด็นในด้านต่อไปนี้:

– การยกเลิกข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ ตลอดจนเสรีภาพในการชุมนุมและการรวมกลุ่ม การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองและองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงการเคารพและสนับสนุนการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

– การจัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย อันสอดคล้องกับมาตรฐานสากลซึ่งนำไปสู่สถาบันทางประชาธิปไตยที่ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

– การเข้าประจำตำแหน่งของรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกแบบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

13. สหภาพยุโรปพร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศไทยให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ด้วยเจตนารมณ์ของความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน

14. คณะรัฐมนตรีขอให้ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรป ร่วมกันติดตามสังเกตการณ์และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีฯ ทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าที่เกิดขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน