กลัวโควิดไม่พอ
ยังต้องกลัวเสียงข่มขู่ด้วย – ชกไม่มีมุม
กลัวโควิดไม่พอ ยังต้องกลัวเสียงข่มขู่ด้วย – เริ่มได้ยินชาวบ้านเขาบ่นกันพึมพำในอีกประเด็นใหม่ เขาพูดกันมากว่า เกิดมาเป็นประชาชนคนไทยต้องหวาดผวากับโควิดเหมือนกับคนทั้งโลก แต่ทำไมของเรามากกว่าเขา วันๆ ต้องมีคนมาออกทีวี พูดจาข่มขู่ทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ระวังจะโดนยกเลิกนั่นนี่
โดยเฉพาะล่าสุดที่ยอมผ่อนปรนในบางเรื่อง ก็ออกมาขู่อีกว่า ระวังจะยกเลิกการผ่อนปรนนะ ถ้าไม่ปฏิบัติตามที่สั่งเอาไว้
แน่นอนว่า ทุกสังคมต้องมีกฎกติกา และสมาชิกในสังคมต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ประเด็นนี้ไม่มีใครเถียง
แต่ผ่านมาเดือนสองเดือน ประชาชนคนไทยก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนส่วนใหญ่ล้วนมีสำนึกรับผิดชอบ เก็บตัวในบ้าน ทำงานอยู่ที่บ้าน จนภาพรวมตัวเลขคนติดเชื้อคนเสียชีวิต ออกมาดี
โดยผลสำเร็จเหล่านี้ เป็นเพราะความสำเร็จของอำนาจ ของคำสั่ง ของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เท่านั้นหรือ!
ไม่มองเลยว่า มาจากความตระหนักรู้ถึงปัญหาและช่วยกันแก้ไขปัญหาของประชาชนเอง
ความจริงแล้วต้องขอบคุณประชาชนด้วย ไม่ใช่เอาแต่คิดเข้าข้างอำนาจตัวเอง ว่าเพราะมีมาตรการที่เข้มแข็งเลยควบคุมประชาชนให้ปฏิบัติตามได้
ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านช่วงเข้มข้นไปจนถึงจุดที่ควรจะต้องเริ่มผ่อนคลาย
ก็เกิดเสียงเรียกร้องจากทั่วสังคมที่ว่า สุขภาพนำเสรีภาพ ก็ควรเป็นไปอย่างเหมาะสม ถึงจุดหนึ่งทั้งสุขภาพและเสรีภาพ ควรเสมอกัน!
มาต้นเดือนนี้ จึงยอมคลายล็อก ให้เปิดกิจการบางอย่าง ภายใต้เงื่อนไขที่ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อมากมายอีก รวมทั้งการยอมให้จำหน่ายเหล้าเบียร์ โดยให้ดื่มที่บ้านเท่านั้น
แต่ไปๆ มาๆ ยังมีบางจังหวัด ยังไม่ยอมแม้แต่จะให้ซื้อไปดื่มที่บ้าน!?!
จนเป็นเรื่องขำขันกันไปทั้งเมืองว่า ประเทศไทยเรามีบางจังหวัด ที่มีสภาพพิเศษ
คือดื่มเหล้าคนเดียวในบ้านก็แพร่โควิดได้ อะไรแบบนั้นกระมัง
หนักกว่านั้น พอเกิดภาพคนไปแย่งซื้อเหล้าเบียร์ในห้าง ซึ่งก็เป็นช่วงนาทีแรกที่รัฐเริ่มผ่อนคลาย
เท่านั้นแหละ ก็มีคนออกมาชี้หน้าขู่ประชาชนอีก ถ้าทำกันอย่างนี้ เดี๋ยวจะยกเลิกไม่ให้ขายทั้งหมด!
แสดงออกถึงการใช้อำนาจเสียจนขาดเหตุผล
แล้วพูดตรงๆ ในวันแรกที่เริ่มผ่อนคลาย แล้วผู้คนแห่กันไปกว้านซื้อนั้น
เป็นเพราะส่วนหนึ่ง ไม่มีความมั่นใจว่า มาตรการของรัฐบาลนี้จะมีความแน่นอนขนาดไหน
หลายอย่างประกาศออกมาช้ากว่าสถานการณ์ หลายอย่างก็ชักเข้าชักออก
จริงๆ แล้วภาพคนแห่ไปแย่งซื้อเหล้าเบียร์ น่าจะเป็นเครื่องสะท้อนความไม่มั่นใจความไม่เชื่อถือในรัฐบาลนี้มากกว่า!!
วงค์ ตาวัน
