คอลัมน์ ชกไม่มีมุม : จะปราบเด็กแว้น ต้องขี่ช้างจับตั๊กแตน – โดย…วงค์ ตาวัน
จะปราบเด็กแว้น – เพิ่งยกเลิกการบังคับใช้เคอร์ฟิวแค่ไม่กี่อึดใจ ปรากฏว่านายกรัฐมนตรีออกมาแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของเหล่าวัยรุ่นไม่กี่คนไม่กี่กลุ่ม ด้วยการเตือนว่า ถ้ายังไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าควบคุมกันไม่ได้ อาจจะเอาเคอร์ฟิวกลับมาอีกก็ได้
หลายคนฟังคำของนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็อยากจะเชียร์ว่า เอาเลย เอาเคอร์ฟิวกลับมาใช้อีกรอบเลย
เพื่อจะปราบเด็กแว้นไม่กี่คน ก็ต้องใช้มาตรการบังคับคนไม่ให้ออกจากเคหสถานในยามค่ำคืน
บังคับประชากรทั้งประเทศไปเลยนี่แหละ!
จะได้รู้กันไปว่า เราอยู่ในยุคที่ผู้นำถนัดใช้อำนาจในการควบคุมผู้คน มากกว่าจะแสดงความสามารถในการบริหารประเทศ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีการอันหลากหลายและเฉียบคม
แถมทำให้หลายคนต้องนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ตอกย้ำความถนัดของท่าน!
แม้แต่การอาศัยอำนาจตามพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมประเทศในช่วงโควิด
จนคุยได้ทุกวันว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูงในมาตรการแก้ปัญหาโรคระบาด
แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกใช้อำนาจพิเศษดังกล่าว
ด้านหนึ่งเพราะเป็นอำนาจพิเศษที่ทำให้นายกรัฐมนตรีสั่งการตรงถึงหน่วยราชการต่างๆได้
สั่งแล้วทำได้ดั่งใจ
ไม่ต้องผ่านรัฐมนตรีที่มาจากนักการเมือง ซึ่งมักมีแง่ มีการโต้แย้ง มีแนวทางอื่นๆ มาเปรียบเทียบ
ถนัดเป็นผู้นำรัฐราชการนั่นเอง!
ดังนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อยกเลิกเคอร์ฟิวในคืนแรก แล้วมีแก๊งเบิร์นยางรถออกมาโชว์เพื่อฉลอง หรือกลุ่มเด็กแว้นออกมาเตรียมแข่งมอเตอร์ไซค์ฉลองกัน
ทำให้นายกฯถึงกับหลุดปากว่า ถ้ายังทำกันอย่างนี้อีก ก็ต้องเอาเคอร์ฟิวกลับมาใช้อีก ถ้าการ์ดตก ก็ต้องเคอร์ฟิวอีกรอบ
ทั้งที่ปัญหาเด็กแว้น ปัญหาแก๊งวัยรุ่นซิ่งรถมันมีอยู่ทั่วโลก และมีมายาวนานแล้ว!!
เพิ่งมาหยุดแสบกันแค่ไม่กี่เดือนช่วงโควิดนี่เอง ดังนั้นพอมาตรการเริ่มผ่อนคลาย ก็ต้องออกมาซ่ากันอีกแน่นอน เป็นธรรมชาติของกลุ่มแก๊งวัยรุ่น
ถ้าเอาอย่างนี้ ประเทศนี้ก็ต้องประกาศใช้เคอร์ฟิวกันไปตลอดกาลกระมัง เพื่อจะหยุดเด็กแว้นให้ได้
ทั้งที่เราพบปัญหา คนทำมาหากินที่เดือดร้อน ต้องรีบปิดร้านกลับบ้านก่อนเคอร์ฟิว คนขายของสดในตลาดเช้า ต้องออกจากบ้านล่าช้ากว่าจะไปเปิดแผงได้ ทำให้เสียหายด้านการค้า
ซึ่งเป็นเหตุสำคัญที่กดดันให้ต้องเลิกเคอร์ฟิว
แต่เพราะจะปราบเด็กแว้น ก็เลยถึงขั้นขู่ว่าจะขี่ช้างจับตั๊กแตนกันเลยหรือ!?!
