เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 25 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท)

 

โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ในเวลา 05.00 น. จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี โดยประชาชนที่มากราบสักการะพระบรมศพต่างอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาจากบ้านไว้แนบอก ซึ่งหลังจากเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

 

นายสุดี มิตรยอดดอย อายุ 47 ปี ชาวเผ่ากะเหรี่ยง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 18 ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ได้ถือรูปที่เคยเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และห้อยเหรียญพระราชทานที่ได้รับตกทอดมาจากบิดาและมารดาไว้ที่คอ โดยมีอักษร “ภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙” และอีกด้านมีอักษร “เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา ชม 175114” กล่าวว่า ตอนที่ทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคต ตนรู้สึกเสียใจมาก ชาวกะเหรี่ยงทุกคนก็เสียใจ และอยากเดินทางมาสักการะพระบรมศพ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะเดินทางมากรุงเทพฯ ได้แต่ไปแสดงความอาลัยที่ทางจังหวัดจัดพื้นที่ไว้ให้ ส่วนตนก็ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อจะมาสักการะพระบรมศพ เพราะเกรงว่าถ้าใส่ชุดชาวเขาที่มีสีแดงอาจจะไม่สุภาพ

 

นายสุดีกล่าวต่อว่า เมื่อประมาณปี 2525 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาทอดพระเนตรแปลงปลูกผักที่หมู่บ้านตน ซึ่งตนได้เฝ้าฯ รับเสด็จด้วย ขณะนั้นตนอายุ 13 ปี เมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจและภูมิใจมาก ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าพูดอะไรบ้างและพระองค์รับสั่งอะไร เพราะตนยังพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่มีล่ามแปลให้ ตนรู้สึกได้ว่าพระองค์ไม่รังเกียจประชาชนเลย แม้กระทั่งพวกตนที่เป็นชาวเขา พระองค์ก็ยังมาให้ความช่วยเหลือ ทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้นมาก โดยมีถนนสัญจรไปมาสะดวก

s__9117721

นายสุดี กล่าวอีกว่า เมื่อก่อนครอบครัวตนยากจนมาก ไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย แต่พอได้ปลูกผักสลัดแก้วส่งโครงการหลวงก็ทำให้ตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก เพราะมีรายได้แน่นอนและมั่นคง โดยเฉลี่ยเดือนละ 10,000-20,000 บาท ซึ่งตนได้ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดสรรพื้นที่ปลูกผักหลากหลาย ปลูกดอกไม้ และเลี้ยงไก่ไว้กินเอง รวมถึงสอนลูกหลานให้ดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาทด้วย

 

“ผมติดตามข่าวก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักมาตลอดและทรงเหนื่อยมามากแล้ว เพราะพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือคนทุกที่ ด้วยพระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อชาวเขาก็ทำให้พวกผมมีชีวิตที่ดีและอยู่อย่างเป็นสุข ผมได้อธิษฐานขอพระบารมีพระองค์ปกป้องคุ้มครองให้ประเทศไทยมีความสงบสุข” นายสุดีกล่าวด้วยความตื้นตันใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน