วันที่ 20 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ คณะทำงานพิเศษ ฝ่ายกฎหมาย คสช. พร้อมกำลังทหารกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ คุมตัว นายวัฒนา ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไท (กฝผ.) ผู้ต้องหาวางระเบิดห้องวงษ์สุวรรณ ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และอีกหลายจุดในพื้นที่ กทม.ส่งมอบให้กับตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรชาน รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ พล.ต.อ.เดชา ชวยบุญชุม ที่ปรึกษา (สบ 10) พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผบก.พฐก. และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องร่วมรับมอบตัว หลังนายวัฒนา ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ เขตดุสิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่คุมตัวนายวัฒนามาที่ชั้นบี (ชั้นใต้ดิน) อาคาร 1 ตร. ก่อนคุมตัวไปสอบสวนและให้พยานชี้ตัวที่สำนักงาน พล.ต.อ.ศรีวราห์ ชั้น 7 อาคาร 1 ตร. ท่ามกลางการวางกำลังของหน่วยแบล็คไทเกอร์ หรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสันติบาลอย่างแน่นหนา โดยให้ประจักษ์พยาน 3 คน ชี้ตัว ซึ่งผลยืนยันตัวนายวัฒนาทั้ง 3 คน จากนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวนายวัฒนา โดยไม่มีการพันธนาการร่างกาย ซึ่งนายวัฒนา มีสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีท่าทีเคร่งเครียด มายังห้องกระจกชั้น 2 เพื่อตรวจร่างกาย วัดความดัน ตรวจหาร่องรอบตามร่างกาย และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้ม โดย พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เป็นผู้ตรวจสุขภาพ จากนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้นำหมายจับ 5 หมาย แสดงแจ้งข้อกล่าวหาให้นายวัฒนา รับทราบโดยทุกขั้นตอนนายวัฒนาให้ความร่วมมืออย่างดี ก่อนจะมีการนำตัวมาแถลงข่าว

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณถังขยะหน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนิน และวันที่ 15 พ.ค. เกิดเหตุระเบิดอีกครั้งที่โรงละครแห่งชาติ และครั้งที่ 3 วันที่ 22 พ.ค. เกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า จากนั้นชุดคลี่คลายคดีได้สืบสวนหาตัวคนร้ายจนสามารถติดตามจับกุมตัวนายวัฒนา ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเคยก่อเหตุเมื่อปี 2550 ที่หน้าห้างเมเจอร์รัชโยธิน ปากซอยราชวิถี 24 และ หน้ากองทัพบก แต่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ในปี 2560 ผ่านมา 10 ปี เป็นตัวชี้วัดการทำงานอย่างหนึ่ง

“ถามว่าคดีระเบิดสามารถจับกุม ได้กี่เปอร์เซ็น ผมตอบได้เลยว่าเกือบ 0 เปอร์เซ็น แต่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ สามารถเร่งจับกุมจนได้ ที่ผ่านมานักข่าวมักจะถามเสมอว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ถามไปต่างๆ นานาทำให้ต่างชาติมองสถานะรัฐบาลลดน้อยลงไปเพราะเหตุระเบิด บางท่านมีการกล่าวอ้างว่าทหารทำเองหรือเปล่า รัฐบาลทำเองหรือเปล่า วันนี้ก็คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งตำรวจได้ร่วมลงแขกทำคดีนี้จนสำเร็จ คดีลักษณะแบบนี้เคยทำมาแล้วกรณีเหตุระเบิดหน้าศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ เป็นการนำประสบการณ์ ความรู้ของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสอบสวนของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ งานสืบสวนของ พล.ต.อ.สุชาติ และคนอื่นๆที่ผมไม่ได้เอ่ยนามมาใช้จนจับคนร้ายได้” ผบ.ตร.กล่าว ก่อนเปิดวิดีทัศน์แสดงแผนประทุษกรรม รพ.พระมงกุฏฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวิดีทัศน์ บรรยายรายละเอียดของคดีระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ดังนี้ เมื่อวันที่ 5 เม.ย.60 เวลา 20.00 น.ได้เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณถังขยะด้านหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า ถนนราชดำเนิน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.60 เวลาประมาณ 21.00 น.เกิดเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. เวลา 10.30 น.ได้เกิดเหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 28 ราย แฃะใทรัพย์สินเสียหาย

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้วิเคราะห์พยานหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุทั้ง 3 จุด พบว่าส่วนประกอบหลักของระเบิดทั้ง 3 จุด มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยอีโอดี เชื่อว่าคนประกอบระเบิดเป็นบุคคลคนเดียวกัน นอกจากนี้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่ามีบุคคลจำนวน 12,000 คน ไล่ตรวจสอบคนเหลือร้อยคน และเหลือ 10 คน ที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด 21 ตัว บริเวณ รพ. เมื่อพิสูจน์ทราบบุคคลต้องสงสัยพบภาพชายสูงวัยถือถุงพลาสติก ภายในบรรจุวัตถุที่มีน้ำหนักและร่มสีดำ 1 คัน ลักษณะมีพิรุธ เดินเข้ามาภายใน รพ.พระมงกุฎ ทางด้านหน้า ใช้เวลาเพียง 1.20 นาที ก่อนเข้าไปภายในอาคารเฉลิมพระเกียรติ และอยู่ในห้องวงษ์สุวรรณ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 33 นาที ออกมาจากห้องดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุระเบิดเพียง 10 นาที โดยถือถุงพลาสติกต้องสงสัย แต่ไม่มีวัตถุที่มีน้ำหนัก เหลือเพียงร่มสีดำ 1 คันเท่านั้น

วิดิทัศน์บรรยายต่อมา เมื่อพิสูจน์ทราบบุคคลต้องสงสัยแล้ว ผบ.ตร. สั่งการให้ บก.สส.บช.น.ระดมกำลังหาความเชื่อมโยง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. เวลา 16.50 น.พบนายวัฒนา ขับรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สีเทา ทะเบียน 1กฎ 6827 กรุงเทพมหานคร เข้ามาจอดภายในลานจอดรถการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี สวมเสื้อแขนสั้นลายพราง กางเกงขายาวสีครีม จากนั้นเดินไปยังอาคารสถานพยาบาล จูงจักรยานมาที่ข้างรถยนต์ของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนสั้นสีครีม ก่อนปั่นจักรยานคันดังกล่าว ออกไปจากลานจอดรถ ตามเส้นทางเพื่อออกประตูหลังของ กฟผ.เพื่อเดินทางไปยังยันฮีคอนโด ในเวลา 17.29 น.

ต่อมาวันที่ 22 พ.ค. เวลา 06.13 น.นายวัฒนาได้ออกมาจากอาคารยันฮีคอนโด สวมเสื้อแขนสั้นสีครีม กางเกงขายาวสีครีม ขี่รถจักรยานมายังอาคาร กฟผ.อีกครั้ง ปั่นจักรยานมาจอดที่ข้างรถยนต์ของตนเอง จากนั้นหยิบถุงพลาสติกสีขาวขนาดใหญ่จากประตูด้านหน้าฝั่งคนขับ ซึ่งภายในถุงพลาสติกมีแจกันดอกไม้ และช่อดอกไม้สีส้มแดง ก่อนขี่จักรยานออกจาก กฟผ.ทางด้านประตูหน้า มุ่งหน้าไปทางปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 97 จากนั้นได้ขี่จักรยานมาบนทางเท้าแล้วย้อนศรมุ่งหน้าไปยังสะพานลอยคนข้าม เพื่อข้ามสะพานลอยไปยัง ซ.จรัญฯ 96/2 และได้ขึ้นรถโดยสารประจำทาง สาย ปอ.18 ใน เวลา 07.43 น.

จากนั้นเวลา 08.43 น. นายวัฒนา ได้ลงจากประจำทางคันดังกล่าว ที่บริเวณป้ายรถประจำทางระหว่างประตู 5 และ 6 ของ รพ.พระมงกุฎเกล้า โดยได้สวมที่ปิดปากปิดจมูกอำพรางใบหน้าเดินถือถุงพลาสติกมาตาม ถนนราชวิถี ทิศทางจากแยกตึกชัย มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อเดินทางมาถึงประตู 6 นายวัฒนา เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปภายในโรงพยาบาล มุ่งหน้าไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ หลังจากนั้นเวลา 08.46 น. เดินเข้าไปภายในอาคาร และเดินเข้าไปภายในห้องวงษ์สุวรรณ ในเวลาประมาณ 08.47 น. โดยนายวัฒนา อยู่ในห้องดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 33 นาที ซึ่งระหว่างนี้นายวัฒนา ได้เปิดสวิตซ์ระเบิดและเริ่มหน่วงเวลาระเบิด จากนั้นเวลา 10.20 น. นายวัฒนาได้เดินออกมาจากห้องวงษ์สุวรรณ ก่อนเกิดเหตุระเบิดมากกว่า 10 นาที เท่านั้น โดยใช้มือขวากำรวบถุงพลาสติกเข้ากับด้ามร่มในลักษณะหนีบ ไม่ปรากฏวัตถุที่มีน้ำหนัก คือ แจกันดอกไม้ และช่อดอกไม้สีส้มแดงที่นำมาด้วย จากนั้นได้เดินออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติผ่านทางก่อสร้าง และปรากฏภาพนายวัฒนา เดินตามถนนราชวิถี จากประตู 7 มุ่งหน้าประตู 6 เพื่อไปยังป้ายรถประจำทาง

วิดิทัศน์บรรยายต่อมาเวลา 10.31 น. มีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้ถ่ายภาพและปรากฏภาพแจกันต้องสงสัยติดผนังที่จุดเกิดเหตุไม่นาน ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดขึ้น เวลา 10.43 น.หลังเกิดเหตุนายวัฒนา ได้ขึ้นรถประจำทางสาย 14 ที่ป้ายรถประจำทางระหว่างประตู 5 กับประตู 6 มุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนลงจากรถบริเวณเกาะพญาไท จากนั้นได้เดินบนสกายวล์อค ไปยังฝั่ง รพ.ราชวิถี ก่อนลงจากสะพานมาที่บริเวณเกาะราชวิถี และไปนั่งอยู่บริเวณจุดติดตั้งตู้เอทีเอ็ม โดยนั่งอยู่บริเวณดังกล่าวเป็นเวลา 18 นาที แล้วลุกเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ต่อมาเวลา 11.31 น.ได้เดินออกมามุ่งหน้าไปยังป้อม ขสมก. จนกระทั่งเวลา 12.24 น. ได้เดินออกมาจากป้อม ขสมก. แล้วขึ้นรถประจำทางสาย 18 เส้นทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไป ยังท่าอิฐ จ.นนทบุรี จากนั้นเวลา 13.03 น.นายวัฒนาได้ลงจากรถ ขี่จักรยานกางร่มผ่านร้าน 7-11 ปากซอยจรัญฯ 97 มุ่งหน้าไปยังกฟผ. บางกรวย และเข้าไปจอดบริเวณอาคารสถานพยาบาล ก่อนเดินมาที่รถยนต์ที่จอดไว้ เพื่อเก็บของในรถประจำทาง และขับรถยนต์ส่วนตัวออกไปจาก กฟผ.

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ได้นำข้อมูลกล้องวงจรปิดตามเส้นทางของ นายวัฒนา มากำหนดจุดลงในแผนที่ทั้งขาไปและกลับ อีกทั้งมีการตรวจสอบทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่นายวัฒนาขับขี่ พบว่าผู้ครอบครองรถ คือ บุตรชายของ นายวัฒนา รวมทั้งได้สอบถามประวัติของผู้ต้องสงสัย ทราบว่าเคยทำงานที่ กฟผ. ก่อนที่จะเกษียณอายุ จากข้อมูลที่สืบสวนสอบสวนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้สนธิกำลังจาก บก.สส.บช.น. ตำรวจนครบาล บก.ป. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด หรือ อีโอดี กองกำกับการสุนัขตำรวจ และเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าตรวจสอบบ้านพักของนายวัฒนา พบของกลางซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคดีระเบิดที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ทั้ง 3 คดี ประกอบได้ซักถาม นายวัฒนา แล้ว ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ประกอบระเบิดด้วยตนเองที่บ้านพัก เนื่องจากไม่ชอบรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติและรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่วัดปทุมวนารามเมื่อปี 2553 รวมทั้งได้สอบถามนายวัฒนา ซึ่งรับว่าเหตุเกิดขึ้นในปี 2550 เคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันถึง 3 ครั้ง บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซินิเพล็กซ์ รัชโยธิน ตู้โทรศัพท์สาธารณะปากซอยราชวิถี 24 และตู้โทรศัพท์สาธารณะ ปากซอยข้างกองบัญชาการกองทัพบกอีกด้วย

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า แนวทางการสืบสวนแม้จับผู้ต้องหาได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และได้สั่งให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ และ พล.ต.อ.สุชาติ สืบสวนขยายผลต่อว่ามีใครเกี่ยวข้อง หากปรากฏหลัก แต่จากหลักฐานที่มี การสืบสวนสอบสวนจนถึงตอนนี้เชื่อได้ว่าคนร้ายทำคนเดียว มีหลักฐานประกอบในทุกจุด แต่หากขยายผลและพบหลักฐานถึงบุคคลอื่นใดก็ต้องดำเนินการ แต่ขณะนี้ได้พูดคุยกับนายวัฒนาพอสมควร และนายวัฒนา ก็ยอมรับว่าทำเพียงคนเดียว ส่วนเพื่อนสาวคนสนิท ก็อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ ถ้ามีพยานหลักฐานไปถึงก็ต้องดำเนินการเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ผู้ต้องหาจะระบุว่าการก่อเหตุเพียงสร้างสถานการณ์ไม่จงใจให้ใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่จากหลักฐานที่พบในบางจุดหากประชาชนที่นั่งอยู่ใกล้หรือถูกแรงระเบิดเต็มๆก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับผู้ต้องหาคนนี้ ที่บอกว่าก่อเหตุคนเดียว ทำคนเดียว ยอมรับว่าคนร้ายลักษณะแบบนี้จับได้ยาก คล้ายกับคนร้ายที่ก่อการร้ายในต่างประเทศ ที่เริ่มปรากฎการก่อเหตุรูปแบบนี้ ทำคนเดียว คิดคนเดียว สืบสวนจับกุมยาก ส่วนมาตรการป้องกันลักษณะที่มีคนก่อเหตุคนเดียวก็ค่อนข้างทำได้ยาก สังเกตุดูก่อเหตุตั้งแต่ปี 2550 จับได้ปี 2560 โดยที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้มีข้อมูลอะไรเลย เมื่อเจอแบบนี้มาตราการต่อไปต้องกลับมาทบทวนว่าในส่วนของการป้องกันปราบปรามจะต้องทำอย่างไร โดยมอบให้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ที่ดูแลด้านการป้องกันปราบปรามไป ดูแลหาทางป้องกัน

พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า นายวัฒนา จบวิศวกรไฟฟ้า มีความชำนาญในการต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ค่อนค่อนข้างมาก ไปหาอุปกรณ์ประกอบระเบิดด้วยตนเอง และมีอุปกรณ์เหล่านี้การสะสมไว้เป็นเวลานาน ขณะที่ พล.ต.ต.ธวัธชัย เมฆประเสริฐสุข ผบก.พฐก. กล่าวว่า ปริมาณดินดำที่นายวัฒนาใช้บรรจุภายในระเบิดที่รพ.พระมงกุฎฯมีปริมาณไม่มากนัก แต่สิ่งที่ทำระเบิดนี้อันตรายคือภาชนะ ซึ่งเป็นแจกัน และตะปูที่อยู่ข้างใน ถ้าใครอยู่ใกล้อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ด้าน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส. 4 กล่าวว่า จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงชัดว่านายวัฒนา ก่อเหตุด้วยตนเอง ทั้งที่หน้ากองสลาก หน้าโรงละครแห่งชาติ และรพ.พระมงกุฎเกล้าฯ อาทิไอซีไทม์เมอร์ สายไฟ สวิทซ์ปิดเปิด และแผงวงจร เสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ โดยจากการสอบปากคำในตอนแรกนายวัฒนาไม่รับสารภาพ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่นำหลักฐานที่รวมรวมได้มาแสดง นายวัฒนาก็รับว่าทำจริง ทั้งนี้พยานหลักฐานและคำสารภาพยังโยงไปถึงเหตุที่หน้าห้างเมเจอร์รัชโยธินในปี 50 ซึ่งตำรวจขออนุมัติหมายจับไปแล้ว 5หมาย จากพยานหลักฐานที่ได้เพิ่มเติม และคำสารภาพของนายวัฒนาล่าสุด พนักงานสอบสวนจะขออนุมัติหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 หมายจับ จากการก่อเหตุที่ปากซอยราชวิถี 24 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 และหน้ากองทัพบก เมื่อวันที่ 30 ก.ย.50

ทางด้าน นายวัฒนา กล่าวว่า เหตุระเบิดในปี 2550 และปี 2560 มีแรงบันดาลใจเหมือนกันทั้งหมด คือตนเป็นประชาชนคนธรรมดา ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ เพราะทำให้ประเทศชาติประสบความหายนะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็ถูกริดรอน ทุกครั้งที่ก่อเหตุตนพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไม่ให้กระทบกับประชาชนธรรมดา และไม่อยากให้ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ให้เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลปฏิวัติ เพื่อส่งเสียงไปยังรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติว่าคนรากหญ้ามิได้ชื่นชมการกระทำของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ และไม่ขอตอบถึงเหตุผลและรายละเอียดการก่อเหตุที่รพ.พระมงกุฎฯ เพราะตำรวจได้พูดไปแล้ว ตนไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ใด ขออภัยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ต้องบาดเจ็บ ทั้งมากและน้อย ขออภัยจริงๆ

“ผมขอยืนยันว่าทำเพียงคนเดียว ไม่มีเบื้องหลังฝ่ายการเมือง หรือบุคคลใดมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ที่บ้านตอนนี้ไม่มีระเบิดแล้ว มีเพียงแผงวงจรที่เอาไว้ทดสอบทางเทคนิคเท่านั้น เมื่อถามว่าถ้าตำรวจจับไม่ได้จะก่อเหตุอีกหรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า คิดว่าน่าจะไม่มีอีกแล้วเพราะไม่มีอุปกรณ์ในการใช้ แผงวงจรที่ใช้ต้องใช้บุคลากรที่แอดวานซ์ในทางเทคนิค แต่ไม่ได้หมายความว่ามีคนอื่น หรือคนที่แอดวานซ์กว่ามาช่วย ไม่มีใครสนับสนุนอุปกรณ์แต่อย่างใด ส่วนจดหมายข่มขู่ไปยังรพ.ใกล้เคียงตนไม่ทราบไม่เกี่ยวข้อง “ขออย่าเรียกสิ่งที่ผมทำว่าระเบิด ให้เรียกว่าประทัดยักษ์” นายวัฒนากล่าว และไม่ขอตอบกรณีที่ใส่สะเก็ดระเบิด และเหตุผลที่วางระเบิดที่ รพ. ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีเงินอุดหนุนอะไรเพราะระเบิดที่ทำต้นทุนเพียง 50 บาท เท่านั้น

“ผมไม่เกลียดทหาร ผมรักทหาร แต่ไม่ชอบทหารบางท่านที่ใช้ประชาชนเป็นฐานในการก้าวเข้าสู่อำนาจ” นายวัฒนากล่าวว่า ตนเคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งทั้ง กปปส.และ นปช.ไปในฐานะประชาชนที่ต้องการฟังข้อมูลทั้งด้าน ยืนยันไม่มีใครให้เงินสนับสนุนตน อยากให้ประชาชนทุกคนดูเรื่องราวของตนไว้เป็นกรณีศึกษาและเป็นเหตุการณ์สุดท้าย โดยตนเองเชื่อว่าหลังจากที่ตนเองลงมือระเบิดในครั้งนี้ จะเป็นจุดที่ทำให้รัฐบาลและประชาชนจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อแสวงหาความสงบสุขของบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่พบนาฬิการูปอดีตนายกทักษิณ และสัญลักษณ์ทางการเมืองจำนวนมากในบ้านของนายวัฒนานั้นเป็นของจริงหรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า นาฬิการูปอดีตนายกฯที่พบในบ้านเป็นของตนเองจริง ๆ โดยเพื่อนมอบให้เพื่อเป็นของขวัญตอนเกษียณฯ เป็นความชอบทางการเมืองส่วนตัวที่ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในเรื่องนี้ไม่ได้มีนัยยะทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ขอบคุณตำรวจและทหารที่ดูแลตนเป็นอย่างดีระหว่างถูกควบคุม เป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาทุกประการ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน