เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 ส.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร และพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีและอากร ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการดำเนินการปราบปรามขบวนการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง รวมทั้งขบวนการทำรถจดประกอบผิดกฎหมาย

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า รอบแรกกรมศุลกากรได้ส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดขาดภาษีอากรมาให้ 32 คัน ซึ่งขาดภาษีไป 673 ล้านบาท ต่อมากรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดภาษีอากรขาดกลับมายังดีเอสไอเพิ่มเติม 91 คัน พบว่ามีมูลค่าภาษีอากรขาด รวมประมาณ 1,165 ล้านบาท พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างดำเนินการเรียกกลุ่มผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา 2 กลุ่มบริษัท ผู้ต้องหารวม 16 คน ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

“ล่าสุดกรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดภาษีอากรขาดกลับมายังดีเอสไอเพิ่มเติมอีก 136 คัน พบว่ามีมูลค่าภาษีอากรขาดรวมประมาณ 2,473 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานสรุปว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อส่งอัยการออกหมายเรียกต่อไป ซึ่งมีทั้งกลุ่มบริษัทนำเข้ารถยนต์และตัวบุคคล รวมแล้ว 16 ราย โดยรวมขณะนี้ได้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องแล้ว 32 ราย” พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม รวมจำนวนรถยนต์ที่กรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดภาษีอากรขาดกลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งสิ้น 259 คัน รวม 3 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าภาษีอากรขาดทั้งสิ้น 4,313 ล้านบาท

รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า รถยนต์ที่ขาดการเสียภาษีทั้ง 136 คัน ที่กรมศุลกากรส่งข้อมูลมาให้ล่าสุดนั้น ส่วนใหญเป็นรถยี่ห้อลัมโบกีนี ซึ่งขาดการเสียภาษีมูลค่าตั้งแต่ 10-33 ล้านบาท โดยเป็นราคาที่กรมศุลกากรได้ประเมินไว้ ทั้งนี้ หากบุคคลใดนำเข้ารถผิดกฎหมายหรือบริษัทใดเกี่ยวข้องจะดำเนินคดีทุกบริษัทโดยไม่ละเว้น ส่วนประชาชนที่ซื้อรถแล้วตกเป็นผู้เสียหาย ดีเอสไอจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการนำเข้าแทน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน