จากกรณีต้นไทรขนาดใหญ่หน้าอาคารอัลม่า ลิงค์ บริเวณข้างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาชิดลม ล้มพาดสายไฟฟ้าทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่นล้มมาทับรถจักรยานยนต์ 3 คัน และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือน.ส.ณัชชาพัชร์ สมเจษ อายุ 25 ปี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่สน.ลุมพินี นางณัฐพิมล สมเจษ แม่ของน.ส.ณัชชาพัชร์ สมเจษ อายุ 25 ปี ลูกสาวที่เสียชีวิต พร้อมทนายวิเชียร ชุบไธสง เดินทางมาขอความเป็นธรรมและตามความคืบหน้าของคดี เพื่อเร่งให้สอบสวนหลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนออกหมายเรียกผู้บริหารทั้ง 4 คนมาให้ปากคำตามขั้นตอนกฎหมาย ได้ล่วงเลยเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

นายวิเชียร กล่าวว่า ความคืบหน้าของคดีได้สอบถามกับพนักงานสอบสวนแล้ว ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำพยานหรือผู้พบเห็นไปแล้วบางส่วน แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพิ่งสอบไป 1-2 ปากเท่านั้น ประเด็นที่แจ้งข้อกล่าวหาคนดูแลต้นไม้คนเดียว ที่ผ่านมา เราจึงสงสัยว่าเจ้าของต้นไม้ทำไมยังไม่มาให้ปากคำ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกไปแล้ว 2-3 ครั้ง แต่อีกฝ่ายผลัดไปหลายครั้ง ให้เหตุผลว่าติดธุระหรือไปต่างประเทศ ถ้าออกหมายเรียกแล้วเร่งรัดแบบจริงจัง คาดว่าคดีน่าจะจบได้ไม่เกิน 2 เดือน เราจึงยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมในการสั่งฟ้อง คดีนี้ไม่ใช่คดีซับซ้อน เนื้อหาชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับคดีทั่วไป คดีนี้ค่อนข้างช้า อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชาตำรวจนครบาลจึงทำให้เรื่องเงียบไป

ทนายวิเชียร กล่าวต่อว่า เราต้องการให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคม ผู้มีหน้าที่ดูแลต้นไม้ อย่าปล่อยปะละเลย และมาสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินคนอื่นเช่นนี้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง สิ่งที่ผู้เสียหายต้องการคือดำเนินคดีแบบรวดเร็วและจริงจัง ในส่วนของค่าเสียหาย เราสามารถใช้สิทธิฟ้องทางแพ่งได้อยู่แล้ว แต่ในทางอาญาเราให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอีกครั้งหนึ่ง ยืนยันว่าประเด็นเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อยากให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดดำเนินคดีโดยเร็ว เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้สังคม ไม่ให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นอีก

ด้าน นางณัฐพิมล สมเจษ แม่ของน.ส.ณัชชาพัชร์ กล่าวว่า ตนอยากขอความเป็นธรรม ชีวิตลูกทั้งคน อยากให้อะไรดีขึ้น มีบรรทัดฐาน ไม่ใช่ให้มันจบไป ถ้าหากมีสื่อมวลชนช่วยกระตุ้น คิดว่าทุกอย่างก็ไปได้ดี แต่เมื่อเรื่องเงียบ ก็ไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ เวลาผ่านไปแล้ว 6 เดือน หลังจากงานศพของน้อง เจ้าของต้นไม้ได้คุยกับคุณแม่ในงานศพของลูกสาว แต่ไม่ได้เจอกันอีก ได้เจอทนายของอีกฝั่ง ฝั่งทนายก็ถามถึงค่าเสียหายว่าต้องการเรียกร้องค่าเสียหายยังไง ตนจึงบอกว่าขอให้เลย 100 วันของลูกไปก่อน

ต่อมาเมื่อ 3 เดือนก่อน มีโอกาสคุยอีกครั้งและเสนอค่าเรียกร้องไป แต่อีกฝั่งเงียบไป ตัวเลขจำนวนเงินไม่ได้มีค่า แต่สิ่งที่ต้องการคือไม่อยากให้เรื่องเงียบ ตนเข้าใจว่าสถานภาพของเจ้าของต้นไม้และตนต่างกัน แต่ชีวิตคนเราเหมือนกัน ต้องการแค่ความถูกต้อง คุณควรตอบกลับมา ไม่ใช่เงียบ จุดที่สำคัญไม่ใช่เรื่องเงิน ใจอยากเรียกให้อีกฝั่งล้มละลายไปเลย ถ้าหากเค้าติดต่อมาตลอด เงินเพียง 100 เดียวหรือไม่มีอะไรให้ เราก็สามารถคุยกันได้ เพราะทางครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน อย่าให้จำนวนเงินมาตีค่าชีวิตลูกสาว 6 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้รับความคืบหน้าหรือได้รับการติดต่อจากอีกฝั่งเลย

“เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น จะไม่มีการตื่นตัวในการทำอะไรสักอย่าง เช่น ตัดต้นไม้ หรือการนำสายไฟลงดิน ถ้าหากชีวิตน้องแลกกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย แม่จะดีใจ แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีบรรทัดฐานให้กับชีวิตคนเลย แม่ไม่เคยโกรธ แต่มองว่า 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น อยากให้พนักงานทำหน้าที่ตรงไปตรงมาอย่างถูกต้องมากกว่าจะเพิกเฉย”

“ในส่วนของสภาพจิตใจ ความรู้สึกทางครอบครัว และตัวเองยังไม่สามารถทำใจได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะน้องเป็นคนดูแลครอบครัวมาโดยตลอด ที่บ้านก็ยังเก็บของๆน้องไว้อยู่ที่เดิม เวลาไปไหนมาไหน จะทำอะไร จะพกรูปน้องติดตัวตลอด ทำเหมือนว่าน้องไม่เคยไปไหน น้องยังอยู่กับครอบครัวเสมอ ซึ่งเมื่อครบ 100 วันที่ผ่านมา น้องก็ได้มาหาคุณยาย บางครั้งก็ยังได้กลิ่นน้อง เพราะดิฉันชอบไปนั่งเล่นอยู่ในห้องของน้องอยู่เสมอ ลูกสาวคนเล็กก็ยังมีอาการซึมเศร้าเล็กน้อย เพราะลูกสาวทั้ง 2 คนสนิทกันมาก มีความผูกพันกัน เมื่อไม่มีพี่สาว น้องสาวจึงยังทำใจไม่ได้ ทางครอบครัวจึงพูดคุยและเยียวยาจิตใจกันอยู่เสมอ และคิดว่าถ้าหากคดีจบ น้องน่าจะไปสู่สุขคติ เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหาคนดูแลต้นไม้ ในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดความตายด้วย” นางณัฐพิมล กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน