‘หล่อ-แรง’ครบเครื่อง ฟอร์ด มัสแตง 2.3 L

‘หล่อ-แรง’รอคอยมาพักใหญ่แล้วกว่าที่จะได้ลองขับรถในฝันของวัยรุ่นทั่วโลก ‘ฟอร์ด มัสแตง’

กระทั่งช่วงต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา มีโอกาสได้รับรถรุ่นนี้มาอยู่ในครอบครองเสียหลายวัน

‘ฟอร์ด มัสแตง’ นำเข้ามาโดยฟอร์ด ประเทศไทย เป็นครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก่อนส่งรุ่นพิเศษ ‘Performance Pack’ มาร่วมกระตุ้นตลาด

‘หล่อ-แรง’

รุ่นที่ได้มาทดสอบคือ ‘2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack’ ส่วนอีกรุ่นที่ทำตลาดด้วยเป็นซิกเนเจอร์ของเขาคือ ‘5.0L V8 GT Coupe’

มัสแตงที่จำหน่ายในไทยเป็นรุ่นพวงมาลัยขวาแท้ๆ ที่ ฟอร์ดเพิ่งผลิตออกมาช่วงปีค.ศ.2015 จากก่อนหน้านี้ตั้งแต่ถือกำหนดปี ค.ศ.1964 เป็นแบบพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น

กระจังหน้าขนาดใหญ่เปิดเป็นช่องดักลม ไฟหน้าแบบแอลอีดีโปรเจ็กเตอร์ ไฟเดย์ไทม์แอลอีดีแบบ 3 ขีดล้อกับไฟท้ายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ยาวนานของมัสแตง ไฟเลี้ยวเป็นแอลอีดีเช่นกัน

คันที่ได้มาเป็นสีดำมีเส้นคาดเส้นขวางตั้งแต่ฝากระโปรงพาดผ่านหลังคาไปถึงด้านหลัง

รูปลักษณ์ภายนอกดูปราดเปรียวและโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม ฝากระโปรงหน้าปรับให้แบนราบลงพร้อมช่องระบายอากาศในตัว

‘หล่อ-แรง’

ติดตั้งสปอยเลอร์หลัง ต่ำลงมาเป็นท่อไอเสียแยกซ้าย-ขวาอย่างละ 1 ท่อ

รุ่น 2.3L EcoBoost บริเวณฝากระโปรงหลังติดสัญลักษณ์ ‘ม้า’ แต่ถ้าเป็นรุ่น V8 ขนาด 5.0 ลิตร จะเป็นตัวอักษร ‘GT’

หลังคาค่อนข้างลาดลงด้านหลังพอสมควร ทำให้ดูสปอร์ตมากขึ้น

ล้ออัลลอยสีดำขนาด 19 นิ้ว หน้ากว้าง 9 นิ้วทั้ง 4 ล้อ ส่วนอีกรุ่น ให้ล้อด้านหลังใหญ่กว่าขนาด 9.5 นิ้ว

ภายในใช้โทนดำตัดกับสีเงิน ผสมผสานระหว่างความไฮเทคและคลาสสิคอย่างลงตัว พวงมาลัยทรงสปอร์ตระบบไฟฟ้าพร้อมระบบมัลติฟังก์ชัน แผงหน้าปัดแสดงผลดิจิตอล แอลซีดี ขนาด 12 นิ้ว จะแสดงข้อมูลโหมดขับขี่แต่ละโหมด

‘หล่อ-แรง’

ตรงกลางเป็นหน้าจอทัชสกรีนกลางขนาด 8 นิ้ว ระบบสื่อสารและความบันเทิงภายใน SYNC 3 เชื่อมต่อและควบคุมสมาร์ตโฟน ระบบเสียง ระบบนำทางและระบบปรับอากาศสั่งงานด้วยเสียงและการสั่งงานด้วยการสัมผัส รองรับทั้งแอปเปิ้ล คาร์เพลย์ และ แอนดรอยด์ ออโต้ ลำโพงรอบคัน 12 ตัว และซับ วูฟเฟอร์

‘หล่อ-แรง’

ระบบแอร์อัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา ปุ่มควบคุมระบบต่างๆ เป็นแท่งๆ ยื่นออกมาแบบคลาสสิค ด้านซ้ายใกล้คนขับเป็นปุ่มสตาร์ต-สต๊อป

คันเกียร์ทรงย้อนยุคนิดๆ ส่วนเบรกมืออยู่ฝั่งซ้ายติดกับเบาะนั่งโดยสารตอนหน้า เช่นเดียวกับที่เปิดฝากระโปรงหน้าอยู่ด้านล่างซ้ายของผู้โดยสารตอนหน้า เนื่องจากเป็นการย้ายพวงมาลัยจากซ้ายมาขวานั่นเอง

แม้ให้ที่นั่งด้านหลังมาด้วย แต่ค่อนข้างเล็กไว้เก็บของจะเหมาะกว่า หรือหากไปไกลมากก็พอทน

ขุมพลังเครื่องยนต์อีโค่บูสต์ขนาด 2.3 ลิตร กำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

มีโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ คือ นอร์มอล สปอร์ต แทร็ก และ โหมดแข่งทางตรง (Drag Strip)

‘หล่อ-แรง’

โหมดแข่งทางตรงสามารถเบิร์นยางให้เกิดความร้อนเพื่อจับสนามได้ดีขึ้นก่อนการแข่งควอเตอร์ไมล์ ฟอร์ดไม่แนะนำให้ใช้บนถนนหนทางทั่วไปเพราะอาจเกิดอันตรายได้

เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน อัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)

ชุดท่อไอเสีย ‘Active Valve Performance Exhaust’ ปรับแต่งลดเสียงได้ เพื่อไม่ให้ดังมากเวลาออกจากบ้าน หรือกลับเข้าบ้าน

เปิดประตูที่บานค่อนข้างใหญ่และกว้างมากๆ เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออก หลังปลดล็อกจะมีไฟที่ส่องจากใต้กระจกมองข้างลงบนพื้นเป็นรูปม้า

เบาะนั่งด้านขวาโอบกระชับกำลังดี ปรับเดินหน้า-ถอยหลังด้วยไฟฟ้า แต่พนักต้องปรับมือ

เข็มขัดนิรภัยเยื้องไปด้านหลังค่อนข้างเยอะ ลำบากหน่อยเวลาต้องเอี้ยวตัวไปดึงมาคาด

กดปุ่มสตาร์ตเสียงคำรามเข้ามาในห้องโดยสารพอได้ยิน และมีเสียงเข้ามาเป็นระยะๆ เวลากดคันเร่งหนักๆ เพิ่มความเร้าใจทีเดียว

ตอนแรกที่ขับรู้สึกว่าช่วงออกตัวไม่แรงอย่างที่คิด แต่ความเร็วกลาง-ปลายไหลได้ยาวๆ

จนเริ่มผิดสังเกตจึงกดดูที่โหมดการขับขี่ ที่แท้อยู่ในโหมดนอร์มอล

ไม่รอช้าปรับที่มาโหมดสปอร์ต เท่านั้นแหละมาเต็มในทุกย่านความเร็วสมชื่อ ‘มัสแตง’

‘หล่อ-แรง’

ช่วงล่างแข็งนิดๆ ตามสไตล์รถสปอร์ต แต่เรื่องเกาะถนน ทั้งการกระชากเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้งแรงๆ สบายมือ

ฟอร์ด มัสแตง 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack เป็นรถที่ขับสนุกและสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แถมเด่นสุดๆ เรียกว่าขับไปไหนมีแต่คนมองเหลียวหลัง

สนนราคา 3,599,000 บาท

ส่วนรุ่น 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ราคา 4,799,000 บาท

ฟอร์ดยังเพิ่มความมั่นใจด้วยแพ็กเกจ ‘ฟอร์ด พรีเมียม แคร์’ รับประกันคุณภาพรถนานสูงสุด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงและค่าอะไหล่ในการตรวจเช็กตามระยะ 5 ครั้ง 60 เดือน หรือ 75,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน