‘ซูซูกิ สวิฟต์ ใหม่’ขับสนุก อัตราเร่งเกินตัว-ถึงไหนถึงกัน
‘ซูซูกิ สวิฟต์ ใหม่’ขับสนุก อัตราเร่งเกินตัว-ถึงไหนถึงกัน – ห่างหายจากค่าย ‘ซูซูกิ’ ไปนานพอประมาณ เมื่อมีแผนการเดินทางไปยังจังหวัดอุทัยธานี เลยไม่พลาดที่จะขอยืมรถรุ่นดัง ‘สวิฟต์’ ที่ตกแต่งใหม่ มาลองของเสียหน่อย หลังจากเคยขับไปเมื่อปีที่แล้ว
เพราะปกติคนที่ไม่เคยขับรถอีโคคาร์ มักสงสัยว่ากำลังเครื่องยนต์แค่ 1.2 ลิตร นั้นหากขับทางไกลที่ต้องแช่ที่ความเร็วสูงนานๆ จะเป็นอย่างไร อัตราเร่งแซงดีขนาดไหน
รุ่นที่ได้เป็นตัวท็อป ‘GLX-Navi’
หน้าตาดูสปอร์ตกว่ารุ่นเดิม กระจังหน้าสองชั้น มีโลโก้อักษร ‘S’ ขนาดใหญ่ ตัดตรงกลางด้วยเส้นสีแดง
ไฟหน้าแอลอีดี โปรเจ็กเตอร์ ปรับระดับสูงต่ำได้ พร้อมไฟ Daytime Running Light เป็นเส้นคาดอยู่กับขอบโคมไฟหน้า
ไฟท้ายแอลอีดี ดีไซน์ใหม่ไฟเป็นรูปตัว ‘C’ ตรงกลางเป็นไฟถอยแบบใส ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
มือจับประตูด้านหลังขยับขึ้นไปอยู่ด้านบนใช้สีดำให้กลืนไปกับตัวรถ มองผาดๆ เหมือนรถ 3 ประตู
ด้านในเน้นโทนดำตัดด้วยขอบสีเงินหลายๆ จุด พวงมาลัย 3 ก้าน ท้ายตัดทรงสปอร์ตพร้อมระบบมัลติฟังก์ชัน และระบบควบคุมความเร็วใช้งานง่าย
มาตรวัดสไตล์สปอร์ต 2 วงกลม ตรงกลางเป็นจอข้อมูลขับขี่แบบแอลซีดีเหนือขอบด้านบนมีไฟเป็นเส้นสีแดงโชว์ไว้ด้วย
ตรงกลางเป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มี ‘Suzuki Smart Connect’ เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่านบลูทูธ หรือใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ผ่าน Apple CarPlay
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแสดงผลผ่านจอแอลซีดีแบบวงกลม
มีช่องใส่แก้ว-ขวดน้ำและของจุกจิกรวม 7 ตำแหน่ง
ขุมพลังบล็อกใหม่แบบ K12M DUALJET ความจุ 1,197 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT
ส่วนความปลอดภัยถือว่าใส่มาให้เยอะพอสมควร ใช้แพลตฟอร์ม HEARTECT และโครงสร้างตัวถัง TECT น้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งมากขึ้น ช่วยเรื่องความเสถียรของตัวรถ ทั้งบนย่านความเร็วสูง เข้าโค้ง หรือเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็วแล้ว
ถุงลมนิรภัย 6 ลูก ระบบป้องกันล้อล็อกเอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์อีบีดี ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอีเอสพี และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทีซีเอส
ดิสก์เบรก 4 ล้อ ถือได้ว่าเป็นอีโคคาร์ คันแรกที่ติดตั้ง มาให้
กุญแจรีโมตเป็นแบบดับเบิลล็อก เมื่อกดปลดล็อกครั้งแรกจะคลายล็อกเฉพาะประตูด้านคนขับ แต่ถ้าต้องการคลายล็อกทั้งหมดต้อง กดเบิ้ล 2 ครั้ง เพิ่มความปลอดภัยหากอยู่เพียงลำพังหรือจะกดที่ปุ่มบริเวณมือจับประตูเพื่อล็อก-คลายล็อกก็ได้เช่นกัน
ผมออกเดินทางในช่วงดึก ใช้เส้นทางด่วนยิงยาวเข้าถนนสายเอเชีย กดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์ไม่ดังมากนัก เกียร์ซีวีทีทำงานได้ ราบเรียบ
ไฟหน้าสว่างไสวดี พวงมาลัยจับกระชับมือทั้งเป็นแบบท้ายตัดทำให้เพิ่มพื้นที่เหนือหน้าตักได้อีกหน่อย
ภาพรวมภายในไม่แคบมากนัก แต่ด้านหลังหากเป็นคนตัวใหญ่ๆ คนขับต้องขยับเบาะหน้าเลื่อนขึ้นมาอีกหน่อย เพื่อให้สบายขึ้น
จุดตินิดๆ คือไฟเก๋งให้มาจุดเดียวบริเวณด้านหน้า หรือเรียกว่าไฟอ่านแผนที่ ทำให้เวลาจะหาของที่เบาะหลังมืดไปหน่อย
ที่เก็บของด้านหลังพอใช้กระเป๋าเดินทางขนาดกลางได้ 2-3 ใบ หากต้องการพื้นที่มากกว่านั้นต้องพับเบาะหลังลง
กลางดึกแบบนี้ รถน้อยๆ เลยลองทำความเร็ว 130-140 ก.ม./ช.ม. เครื่องยนต์ไปได้สบาย แต่เสียงเครื่องเสียงลมเข้ามาอู้พอสมควร ต้องเปิดเพลงพอ กลบเกลื่อนไปได้
แต่หากเป็นความเร็วระดับ 100-110 ก.ม./ช.ม. เสียงลมเข้ามาไม่มากนัก
ความเร็วตีนต้นถือว่าทำได้พอประมาณ ความเร็วกลาง-ปลาย และการเร่งแซงน่าพอใจ ยิ่งหากดูว่าเป็นรถเครื่องยนต์เพียง 1.2 ลิตร ต้องบอกว่าแรงเกินตัว
ทริปนี้เจอถนนหลากหลายแบบทั้งซูเปอร์ไฮเวย์ ถนนเล็กๆ 2 เลนสวนที่มีสารพัดโค้ง ตอนเร่งแซงจะกดคันเร่งคิกดาวน์ หรือปุ่มโหมด ‘สปอร์ต’ ที่หัวเกียร์ รถพุ่งวาบไปแบบไม่ต้องลุ้น
ช่วงล่างเซ็ตมาได้ดีพอสมควร ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง
จะเข้าโค้งแรงอยู่ในเมืองที่ถนนค่อนข้างเล็ก ตัวถังสวิฟต์ที่ขนาดกำลังเหมาะซอกแซกได้สบาย แถมหาที่จอดได้ง่ายด้วย
แม้รุ่นนี้จะไม่มีกล้องมองถอยหลังมาให้แต่ด้วยเป็นท้ายตัดและขนาดเล็ก จึงกะระยะได้สบาย
ส่วนช่วงขับอยู่ในกรุงเทพฯ ใช้ความเร็ว 80-100 ก.ม./ช.ม.ยิ่งขับง่ายและไม่อึดอัดอย่างที่คิด แถมตอนแวะเข้าห้างนี่ยิ่งสบายใจเพราะเวลาถอยจอดง่ายจริงๆ
‘ซูซูกิ สวิฟต์ ใหม่’ รุ่นท็อปราคา 629,000 บาท ส่วนอีก 3 รุ่นรองลงมา เริ่มต้น 499,000-609,000 บาท