นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ว่า ในช่วงที่เหลือ 7-8 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ไม่ต้องการให้ข้าราชการกระทรวงการคลัง ทำงานแบบเกียร์ว่าง แต่ต้องทำงานหนักเพิ่มเป็น 2 เท่า และจะต้องเป็นไปตามเป้าหมายทั้งในปีงบประมาณ 2561 และ 2562 ทั้งในเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยในเดือน ต.ค.นี้จะมีการโยกย้าย ก็จะนำผลงานของผู้บริหารกระทรวงการคลังมาพิจารณาด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมสรรพากร ได้สั่งการให้ลดภาระผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะการเสียภาษีทางอ้อมของคนจน ไม่ต้องการให้ไปสร้างภาระทำให้คนจนมีรายได้เหลือ ไปใช้ในการบริโภคเพิ่มก็จะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ ซึ่งกรมสรรพกากรกำลังเร่งศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุป 3-4 เดือน ส่วนจะเป็นการลดภาษีมูลค่าเพิ่มในบางรายการหรือไม่ ให้กรมสรรพากรไปพิจารณา รวมทั้งให้เร่งดำเนินการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ในฐานะที่อธิบดีกรมสรรพากรเป็นประธานกรรมการ บมจ.การบินไทย ให้ไปสรุปความชัดเจนเรื่องแผนธุรกิจ การจัดซื้อเครื่องบิน และแต่งตั้งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) ให้ได้ภายใน 3 เดือน

ขณะที่กรมศุลกากร ให้ไปเร่งดำเนินการในเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งในฐานะที่เป็นประธานกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ให้เริ่มร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงสายใต้ จากเดิมที่กรุงเทพฯ-หัวหิน ให้ไปถึงชุมพร-สุราษฏ์ธานี เพื่อไปเชื่อกับรถไฟทางคู่ระนอง-อันดามัน รวมทั้งร่างสัญญารถไฟเชื่อมเมืองหลักและเมืองรอง ให้ยกระดับความเร่งด่วนโครงการ ด้านกรมบัญชีกลาง ให้เร่งอำนวยความสะดวกในการเบิกจ่าย เพราะมีหน่วยงานบางแห่งยังไม่เข้าใจกับ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ ให้ไปเร่งทำความเข้าใจเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย

นายสมคิด กล่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ชี้แจงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2561 โดยคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ขยายตัวได้ 4.5% แต่ยังมองว่าเป็นการขยายตัวที่ต่ำเกินไป โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ 40% ลดลงจากเดิมที่ประมาณ 42% สาเหตุสำคัญเนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวได้เร็วกว่าที่คาด โดยการที่หนี้ต่ำไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจ ให้ไปศึกษาว่ามีโครงการอะไรบ้างที่จะผลักดันให้เกิดขึ้น ไม่ใช่การแจกเงิน ในช่วงที่เหลืออีก 7-8 เดือน

ส่วนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ยืนยันว่า ภายในสิ้นเดือนนี้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ก็จะแล้วเสร็จ และจะเริ่มขายหน่วยลงทุนได้ตามแผน ทำให้รัฐบาลมีแขนขาในการพัฒนาประเทศเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สั่งการให้กระทรวงการคลัง เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกร โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่เป็นหนี้อยู่กว่า 30 ล้านคน ปัญหาจากเกษตรกรไม่มีรายได้ เมื่อขายผลผลิตได้ก็ต้องนำไปชำระหนี้คืน ให้ไปหาทางช่วยเหลือเกษตรกร รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเกษตร ไม่ปล่อยให้เกษตรกรลำบาก โดยจะต้องได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้ ซึ่งจากการติดตามราคาพืชผลในปีนี้ เช่น ข้าว ข้าวหอมมะลิ ราคาค่อนข้างดี แต่ปัญหาที่มีคือหนี้เก่า ก็ต้องเข้าไปช่วยดูแล

นายสมคิด กล่าวว่า ต้องการให้คลัง สนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ หรือสตาร์ตอัพ หลังจากที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามแผน ซึ่งที่ผ่านมาได้ไปดูงานที่ ไซเบอร์-พอร์ต ที่ฮ่องกง จะเห็นว่ามีการรวมทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยเหลือกัน ทั้งภาคการเงิน ภาคเอกชน ธนาคาร และมหาวิทยาลัย จึงต้องการให้เกิดโครงการในลักษณะเดียวกันโดยเร็วที่สุด และมอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะทำงานเรื่องนี้

ส่วนการลงทุนในตลาดทรัพย์ ขณะนี้ไปได้ดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ต้องทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะเม็ดเงินลงทุนในโลกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อหาผลตอบแทน หากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง เม็ดเงินลงทุนก็จะไหลเข้ามาเอง เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกังวล ส่วนดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดูแลในระดับที่เหมาะสม และจะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน