นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานความคืบหน้าการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า รัฐบาลเหลือเวลาทำงานเพียงแค่ 7-8 เดือน จึงอยากจะให้การทำงานคืบหน้าไปด้วยความรวดเร็ว โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) มีมาตรการช่วยเหลือเกษตกรหลายอย่างเพื่อผลักดันให้ราคาข้าวสูงขึ้น เช่น การรับจำนำข้าวในยุ้งฉาง ซึ่งถือว่เป็นมาตรการที่ดี

ดังนั้นจึงขอให้กระทรวงเกษตรฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งการลงทะเบียนเกษตรกร เพื่อที่ชาวนาจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลให้เร็วที่สุด โดยให้ทางเกษตรจังหวัด และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันลงไปบอกข่าวแก่เกษตรกร

“ส่วนชาวนาที่ไม่มียุ้งฉาง จะทำอย่างไรให้สามารถมาลงทะเบียน และระบายข้าวโดยไม่ต้องมีข้าวตกค้างไว้ ซึ่งอาจให้สหกรณ์ต่างๆ เช่ายุ้งฉางและโกดัง เพื่อให้ข้าวขาวในภาคกลางมีโอกาสเข้าร่วมโครงการนี้ ในขณะที่สหกรณ์ที่มีโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ เช่น โรง อบ ลานตาก เหล่านี้ต้องให้สมาชิกเข้ามาใช้ด้วย”

นายสมคิด กล่าวว่า สำหรับโครงการปฎิรูปภาคการเกษตรฯ โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต จะจะเริ่มเฟสที่ 1 ได้ในกลางเดือน ส.ค. นี้ โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอแผนมาแล้ว เช่น ลดการปลูกข้าวนาปรัง เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทน ได้แก่ ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ส่วนทางภาคใต้ อยากให้ดูเรื่องผลไม้เป็นหลัก และพยายามอย่าให้เกิดต้นทุนกับผู้ที่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต ลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด เพราะถ้าต้องรับความเสี่ยงไม่มีใครอยากปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น

“ภาคเอกชนมาประสานกับทางผมแล้วว่าจะให้ความร่วมมือเต็มที่ รวมทั้งล้งต่างๆ จะเข้าหารือสถานการณ์ตลาดร่วมกับรัฐบาล แล้ววางแผนร่วมกัน อย่างตอนนี้กระทรวงพาณิชย์สามารถหาตลาดล่วงหน้าของลำใยได้ ดังนั้นสินค้าทุกตัวที่จะให้ทำการปลูกแทนที่ เขาจะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยจะเริ่มเฟสแรกประมาณ ส.ค.นี้”

นอกจากนี้ ในเรื่องของระบบสหกรณ์ ปัจจุบันมีสหกรณ์การเกษตรประมาณ 800 แห่ง ที่มีความเข้มแข็งสามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้ จึงสั่งให้กระทรวงเกษตรฯ ทำแผนพัฒนาสหกรณ์กลุ่มนี้ให้แข็งแรงขึ้น โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดประชุมทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง และขอความร่วมมือกับธนาคารของรัฐบาล เช่น ธ.ก.ส. ออมสิน เป็นต้น ช่วยสนับสนุน

สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีเงินทุนจำนวนมากและมีการลงทุนหลักทรัพย์นั้น ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้มีการทำหลักเกณฑ์ การลงทุน แต่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรฯ ดังนั้นกำกับให้เป็นไปตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ ร่วมด้วยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อทำให้การบริหารงานของสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า นายสมคิด เห็นด้วยกับมาตรการที่การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เสนอขอเพิ่มพื้นที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางจากปีละ 4 แสนไร่ เป็น 6 แสนไร่ โดยยางที่ปรับเปลี่ยนต้องเป็นยางที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และคาดว่าการปรับเปลี่ยนพื้นที่นี้จะทำให้ราคายางที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า กิโลกรัม (ก.ก.) ละ 60 บาท

ส่วนเรื่องปฏิรูปการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ เสนอปรับเปลี่ยนการทำนาปรังครั้งที่ 2 และ 3 ไปปลูกพืชอื่น ได้แก่ ข้าวโพด และมันสำปะหลัง รวม 2 ล้านไร่ โดยให้พิจารณาตามความหมาะสมของดิน ส่วนการทำตลาดกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ จะเชิญภาคเอกชนที่จะต้องการรับซื้อข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้อื่นๆ ร่วมกำหนดเป้าหมายการรับซื้อแต่ละปี ส่วนพืชที่กำลังมีปัญหาเนื่องจากผลผลิตมาก เช่น มังคุด ลองกอง ลำไย เป็นต้น ต้องเร่งหารือกับผู้รับซื้อว่ามีเป้าหมายตลาดเท่าไหร่

“นายสมคิด มองว่า หากสามารถจัดส่งผลไม้ไปถึงมือผู้บริโภคแบบเดลิเวอรี่ ได้ ในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาล้นตลาดได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ มีความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยได้แล้ว ดังนั้นจึงให้ทั้ง 2 หน่วยงาน หารือกับผู้ประกอบการ เพื่อเร่งดำเนินการตามแผนให้ร็วที่สุด คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ส่วนในวันที่ 15 ส.ค. 2561 รองนายกฯ จะเดินทางมาตรวจสอบอีกครั้ง”

นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า ยางที่จะโค่นได้ จะเป็นต้นเก่าที่กรีดเกินกว่า 25 ปีขึ้นไป และยางใหม่ที่เพิ่งปลูกได้ 7 ปีหรือมากกว่านั้นในพื้นที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3-4 ล้านไร่ ตามแผนการนี้จะโค่นทิ้งให้หมดภายใน 5 ปีนี้จะใช้เงินจากการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากการส่งออกยาง (เซส) ชดเชยไร่ละ 1.6 หมื่นบาท หากประสบผลสำเร็จจะช่วยให้ราคายางปรับเพิ่มขึ้นก.ก.ละ 10 บาท กรณีเงินเซสไม่พอจะของบประมาณจากรัฐบาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน