นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมและมอบนโยบายการทำงานแก่หัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้ง 14 แห่ง ว่า ยอมรับบีโอไอมีบุคลากรไม่เพียงพอต่อภารกิจที่ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันสามารถดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในไทยได้ปีละ 6-7 แสนล้านบาท เบื้องต้นสั่งการให้บีโอไอเกลี่ยคนจากสำนักงานบีโอไอในประเทศอื่นมาดึงดูดนักลงทุนเชิงรุกในประเทศเป้าหมายโดยเฉพาะจีนในมณฑลทางใต้ สอดคล้องกับปลายเดือนส.ค.นี้ ที่นักลงทุนจีนจะเดินทางมาศึกษาลู่ทางลงทุนในไทย และดูงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ และรองรับนักลงทุนญี่ปุ่นที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนด้านนวัตกรรมและสตาร์ตอัพ จะมาดูงานในไทยเดือนต.ค.นี้ ส่วนฮ่องกงมาเดือนก.พ. 2562

ดังนั้น บีโอไอต้องมีแผนดึงดูดนักลงทุนชัดเจนที่สามารถต่อยอดการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงขยายฐานไปสู่ภาคบริการด้วย เป็นข้อเสนอเชิงรุกที่ทำให้นักลงทุนเห็นโอกาสในการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนในอนาคต

“บีโอไอยังต้องทำงานเชิงรุก ฉายภาพแม็กโครให้นักลงทุนเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าการลงทุนในซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และไปสู่ภูมิภาคอื่น เพื่อให้นักลงทุนเห็นว่านอกจากการเข้ามาลงทุนในอีอีซีในไทยแล้วจะกระจายไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ได้อย่างไร ดึงดูดให้นักลงทุนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐเห็นภาพประกอบการลงทุนในไทยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้ลู่ทางเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21 หรือวันเบลท์วันโรด (One Belt One Road) ไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มอี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) กลุ่มยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือแอ๊กเม็กส์ (ACMECS) ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค หรืออาร์เซป (RCEP) เป็นต้น”

นายสมคิด กล่าวว่า ไทยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการหานักลงทุนกลุ่มประเทศเป้าหมาย ไม่ใช่ขายเฉพาะการลงทุนในอีอีซีหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเดียว บีโอไอไปดูว่าจะปรับอย่างไร เพื่อที่จะรักษาไทยเป็นฐานการลงทุนไว้ โดยทางบีโอไอต้องรู้จักใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เป็นนโยบายหลัก จากที่ผ่านมาไม่มีการดึงข้อมูลการลงทุนมาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร เพราะบุคลากรน้อยอยู่แล้ว จึงต้องใช้เอไอให้เป็นประโยชน์ให้การวิเคราะห์และประเมินพฤติกรรมนักลงทุนต้องการอะไร ทำอย่างไรให้มาลงทุนไทย

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งจะเปลี่ยนให้อุตสาหกรรมไทยมาใช้ไฮเทคเลยไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมเดิมเรายังมีอยู่ แต่การจะเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีนั้น ก็ต้องไม่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตด้วย

น.ส.ดวงใจ อัศวจินจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ปัจจุบันบีโอไอบุคลากรทั้งสิ้น 317 คน เป็นพนักงานข้าราชการกว่า 100 คน ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติการเพิ่มอัตรากำลังคน 78 คนภายใน 3 ปี ประกอบกับการเกลี่ยคนให้สอดคล้องกับพื้นที่เป้าหมาย เชื่อว่าจะเพียงพอต่อการดำเนินภารกิจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน