นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยจำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการของการบินไทยสิ้นปีนี้ว่า คาดว่าบริษัทจะมีกำไร แต่มีความเป็นห่วงเรื่องของราคาน้ำมันที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 40% รวมถึงปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยการบินไทยจะต้องเร่งบูรณาการบริหารจัดการงานขายบริษัทลูกคือสายการบินไทยสมายล์ให้ดีกว่านี้ ยอมรับว่าที่ผ่านมาไทยสมายด์ มีปัญหาเรื่องฝ่ายขายตั๋วโดยสารเน็ตเวิร์กยังไม่เชื่อมต่อกับฝ่ายขายของบินไทยบริษัทแม่ ทำให้ไม่สามารถขายพ่วงและแชร์ต้นทุนการขายร่วมกันได้ ดังนั้นการบินไทยจะต้องส่งทีมขายเข้าไปช่วยวางระบบการจัดการให้ ส่วนกรณีที่ไทยสมายด์มีแผนเปิดเส้นทางเพิ่มในจีน และอินเดียนั้นต้องมีการพิจารณารายได้จากผู้โดยสารต่อที่นั่ง หรือยีลให้รอบคอบด้วย

ทั้งนี้ การบินไทยจะต้องเร่งลดค่าใช้จ่าย ด้วยการปรับเส้นทางบินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเส้นทางที่มีปัญหายีลต่ำๆ อาจจะต้องมีการปรับลดความถี่ในการทำการบินลง ซึ่งที่กำลังจับตามองอยู่ในขณะนี้คือ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ออสเตรเลีย อาจจะต้องปรับลดความถี่ลงเหลือสัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน จากเดิมสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน แต่จะเป็นเมืองไหนต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง โดยปัจจุบันการบินไทยเปิดบินออสเตรเลีย จำนวน 4เ ส้นทางคือ ซิดนีย์, บริสเบน, เพิร์ทและเมลเบิร์น

นางอุษณีย์ กล่าวว่า สำหรับเส้นทาง กรุงเทพฯ-มอสโก (รัสเซีย) ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้มีปัญหายีลต่ำนั้น หลังจากมีเทศกาลบอลโลก ประกอบกับตนได้เร่งรัดตัวแทนจำหน่ายให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พบว่าอัตราบรรทุกหรือเคบินแฟคเตอร์กลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 80% จึงเป็นไปได้ที่อาจจะมีการปรับเพิ่มเที่ยวบินจากสัปดาห์ละ 4 วัน ให้เป็นสัปดาห์ละ 7 วัน หรือบินทุกวัน เนื่องจากมีสายการบินอื่นๆ ขนคนรัสเซียเข้ามาในไทยจำนวนมาก หากการบินไทยเปิดให้บริการบินทุกวันจะได้เปรียบสายการบินอื่น และจะขายตั๋วได้ในราคาที่แพงขึ้นด้วยเพราะมีไฟล์ตบินทุกวัน ขณะที่สายการบินอื่นๆ จะขายตั๋วได้ในราคาที่ถูกกว่าเพราะทางเลือกน้อยกว่าไม่ได้ให้บริการบินทุกวัน

ส่วนความคืบหน้าเรื่องการเปิดเส้นทางกรุงเทพฯ-สหรัฐอเมริกานั้น การบินไทยไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันในช่วงตารางบินฤดูหนาวปีนี้ คือช่วงเดือนต.ค. 2561 -มี.ค. 2562 โดยอาจจะต้องเลื่อนไปเปิดตารางบินฤดูหนาวปีหน้าหรือ ช่วงเดือนต.ค.ปี 2562 แทน เพราะต้องรอให้สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (เอฟเอเอ) ปรับเพิ่มระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจากระดับที่ 2 (Category 2) ซึ่งไม่ปลอดภัย ให้กลับขึ้นมาเป็นระดับ 1 (Category 1) ซึ่งปลอดภัยก่อนภายในปีนี้ รวมทั้งคาดว่าการบินไทยคงยังไม่สามารถนำเข้าเครื่องบินที่สั่งซื้อล็อตใหม่เข้ามาทำการบินได้ทันภายในปีนี้ เนื่องจากแผนการจัดหาเครื่องบินใหม่วงเงินราว 1 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาความเห็นเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป

“การเปิดบินเส้นทางสหรัฐ ต้องรอผลประเมิน เอฟเอเอในเดือนธ.คนี้ก่อน หากไทยผ่านการประเมิน คาดว่าจะเริ่มบินได้ต.ค.ปี 2562 แต่จะไม่บินตรง เพราะบินตรงต้องใช้เครื่องขนาดใหญ่พิสัยไกล อาจจะไม่คุ้มค่า จึงจะใช้บินแบบแวะพักกลางทาง ซึ่งหากช่วงนั้นยังนำเข้าเครื่องบินใหม่ไม่ทัน อาจะใช้วิธีหมุนเครื่องบินที่อยู่ในฝูงบินปัจจุบัน เช่นโบอิ้ง 777 – 300ER มาบินก่อน ส่วนจุดแวะที่จะบินต่อไปสหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาอยู่ เช่น ที่เกาหลี ไต้หวัน หรือญี่ปุ่น โดยจะต้องศึกษาว่าจุดไหนมีควาคุ้มค่าสูงสุด”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน