นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (มูลนิธิ สวค.) จัดทำผลศึกษาข้อมูลด้านการลงทุนของกลุ่มประเทศตลาดใหม่ ได้แก่ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สาธารณรัฐเคนยา สาธารณรัฐซูดาน สาธารณรัฐอินเดียและสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ เพื่อเป็นข้อมูลอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทยได้ศึกษาเตรียมความพร้อมก่อนไปลงทุนจริงในต่างประเทศ

โดยผลการศึกษาโอกาสการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดใหม่ทั้ง 5 ประเทศ พบว่ายังมีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนสูง เนื่องจากยังมีผู้บุกเบิกเข้าไปไม่มากนัก โอกาสทางธุรกิจจึงยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนไทย ขณะเดียวกันยังพบว่าอุปสรรคสำคัญของนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ขั้นตอนการเริ่มต้นทำธุรกิจ จึงเชื่อว่าผลการศึกษาครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้นักลงทุนไทยได้ใช้เป็นข้อมูลต่อยอดประกอบการพิจารณาตัดสินใจ เกี่ยวกับข้อดีข้อเสียก่อนในการเข้าไปลงทุนในแต่ละประเทศ

ทั้งนี้ สาระสำคัญประกอบด้วย ขั้นตอนการเริ่มต้นทำธุรกิจ หน่วยงานที่ต้องติดต่อประสานงาน ข้อกฎหมายที่ควรรู้ ตลอดจนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจแต่ละประเภท ซึ่งผ่านการคัดกรองจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เนื่องจากแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบและข้อปฏิบัติด้านการลงทุนที่ต่างกัน หากนักลงทุนไทยได้ข้อมูลที่สมบูรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงหรือปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นได้

นายโชคดี กล่าวว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน มีทรัพยากรที่สมบูรณ์ ทั้งน้ำมัน เหมืองแร่ และทรัพยากรทางทะเล นักลงทุนไทยควรเตรียมความพร้อมเรื่องค่าเงิน กฎระเบียบด้านการลงทุนและผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติ หากตรวจสอบว่าไม่ติดขัดกับมาตรการคว่ำบาตรก็สามารถลงทุนได้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น นิคมอุตสาหกรรม ค่าน้ำ ค่าไฟ ขณะที่อิหร่านต้องการให้เข้ามาลงทุน คือ พลังงานแสงอาทิตย์

สาธารณรัฐเคนยา กำลังปรับปรุงกฎระเบียบให้ง่ายและสะดวกต่อการลงทุน มีมาตรการทางภาษีส่งเสริมการลงทุน และรับซื้อสินค้าผ่านนโยบาย “Buy Kenya Build Kenya” แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องตลาดในประเทศที่มีขนาดเล็ก ทำให้มีกำลังซื้อน้อย ประชากรมีรายได้ต่อหัวต่ำ นักลงทุนไทยจึงเหมาะที่จะใช้เคนยาเป็นฐานการผลิตเพื่อขยายการลงทุนไปยังตลาดยุโรปและอาหรับ อุตสาหกรรมที่เคนยาต้องการคือ พลังงาน เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร ยาและเวชภัณฑ์

สาธารณรัฐซูดาน มีแนวคิดการพัฒนาประเทศที่สำคัญต้องมาจากแรงผลักดันจากต่างชาติ จึงให้นักลงทุนต่างชาติถือครองกิจการได้ 100% โดยเฉพาะไทย ซูดานจึงเป็นประเทศเป้าหมายลำดับต้นๆ ของนักลงทุนไทย โดยซูดานต้องการกระตุ้นการลงทุนในทุกอุตสาหกรรม แต่ที่ต้องการเป็นพิเศษ ได้แก่ น้ำมัน ทองคำ และสินค้าเกษตร

สาธารณรัฐอินเดียที่ศึกษาแถบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (North East Region: NER) พบว่าเหมาะที่นักลงทุนไทยจะใช้เป็นฐานแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติที่มีเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงขยายไปยังตลาดที่ใหญ่กว่า ได้แก่ บังคลาเทศ อินเดียส่วนกลาง และทิเบต แต่ควรหาผู้ร่วมธุรกิจที่เป็นคนในพื้นที่เพื่อสร้างการยอมรับในคุณภาพสินค้า อาทิ เกษตรแปรรูป สินค้าอุปโภคบริโภค ยาเวชภัณฑ์ ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า

สาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ มีจุดเด่นที่แรงงานในระบบจำนวนมากและต้นทุนค่าแรงต่ำ นักลงทุนไทยควรใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการออกแบบที่สูงกว่าเข้าไปพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าขายในประเทศหรือส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เช่น อาหาร เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ควรระมัดระวังมาตรการและกฎระเบียบต่างๆ มีความซับซ้อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน