พาณิชย์ผนึก 2 แบงก์รัฐ อัดฉีดหมื่นล้าน ต่อลมหายใจโชห่วย ปรับตัวสู้อีคอมเมิร์ซ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากการค้าขายผ่านออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ร้านค้าโชช่วยได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถแข่งขันได้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับธนาคารออมสินและเอสเอ็มอีแบงค์ ในการสนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับให้ร้านค้าโชห่วยแข่งขันกับร้านค้าออนไลน์มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ข้อมูลจากบริษัทขนส่งสินค้า บางบริษัทพบว่า มียอดส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 7-8 หมื่นชิ้นกว่า 1 ล้านชิ้นต่อเดือน จากการสั่งซื้อออนไลน์ ขณะที่ร้านโชห่วยขายสินค้าลดลง สะท้อนว่าโครงสร้างการค้าแบบเดิมกำลังได้รับผลกระทบหากไม่ปรับตัวจะไม่สามารถอยู่รอดได้
ซึ่งเป้าหมายในการปรับโครงสร้างร้านค้าโชห่วยครั้งนี้จะเพิ่มจำนวนร้านค้าจากเดิม 5 หมื่นร้านค้าเป็น 2-3 แสนร้านค้า
สำหรับการยกระดับโชห่วยให้เข้มแข็งจะดำเนินการใน 2 มิติ คือ การวางระบบ POS กับร้านค้าโชห่วย และการนำโมเดลการสร้างความเข้มแข็งในจีนหรืออูเล่โมเดล มาใช้คือการยกระดับให้ร้านค้าโชห่วยขายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น
นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า จะดำเนินการเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานยุทธศาสตร์ทางการค้าสำรวจข้อมูลค้าออนไลน์ว่ามีการเติบโตมากน้อยเพียงใดเพื่อประกอบการดำเนินการต่อไป
ส่วนการที่รัฐบาลจะออกกฎหมายกำหนดให้ สถาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลของบุคคลและนิติบุคคล ที่มีความเคลื่อนไหวทางบัญชีในการทำธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีเกิน 3,000 ครั้งต่อปี หรือการฝากและรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้ง (สนช. แก้ไขเป็น 400 ครั้ง) และยอดเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ส่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบเพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง
โดยตั้งเป้าเรียกเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าผ่านทางออนไลน์นั้น เป็นเรื่องปกติที่บุคคลทุกคนที่มีรายได้ตามเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ที่ผ่านมาไม่ได้เสียเพราะการตรวจสอบไม่ทั่วถึง ทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ไปมหาศาลไป
ปัจจุบันการติดตามข้อมูลเพื่อจัดเก็บภาษีไม่อาจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ก็ยังดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมค้าออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ และยืนยันว่า การเตรียมเก็บภาษีดังกล่าวไม่ได้เป็นอุปสรรคในการค้าออนไลน์
