ครม.สัญจรหนองคาย ไฟเขียวให้ ปตท.สผ. ชนะการประมูลผลิตปิโตรเลียม 2 แห่ง คือ แหล่งเอราวัณ-บงกช

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) จ.หนองคาย มีมติเห็นชอบให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ชนะการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ชนะประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/51 (แหล่งบงกช)
โดยให้กระทรวงพลังงานลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) ภายในเดือน ก.พ.2562 ระยะเวลาสัมปทาน 20+10 ปี

เนื่องจากผู้ชนะยื่นข้อเสนอทางเทคนิค ผ่านตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร่วมลงทุนกำหนด โดยผู้ชนะเสนอค่าคงที่ราคาขายก๊าซธรรมชาติ 116 บาทต่อล้านบีทียู ต่ำกว่าราคาก๊าซในแหล่งเอราวัณปัจจุบันราคา 165 บาทต่อล้านบีทียู และในแหล่งบงกชราคา 214.26 บาทต่อล้านบีทียู เทียบเท่าส่วนลดค่าใช้จ่ายราคาก๊าซธรรมชาติให้กับประเทศ 5.5 ล้านบาทในระยะเวลา 10 ปี หรือปีละ 55,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากนำส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากทั้ง 2 แปลง มาใช้ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจะประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 29 สตางค์ต่อหน่วยอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ผู้ใช้ก๊าซทุกรายที่แบ่งตามสัดส่วนการใช้ก๊าซประหยัดไฟฟ้าเฉลี่ย 17 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.60 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ผู้ชนะประมูลข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐมากกว่า 50% มากกว่าเงื่อนไขที่กำหนดให้ในเอกสารเชิญชวน โดยแหล่งเอราวัณเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 68% ผู้รับสัญญารับกำไร 32% แหล่งบงกชเสนอให้รัฐ 70% ผู้รับสัญญารับกำไร 30% ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นรวมอีก 1 แสนล้านบาท สร้างประโยชน์ให้ประเทศได้รวม 6.5 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกัน คาดว่าในช่วง 10 ปีแรก จะสามารถสร้างผลประโยชน์ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และส่วนแบ่งปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยในสัดส่วน 98% และยังช่วยลดการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ได้ประมาณ 22 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาท ทำให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในประเทศอีก 1.1 ล้านล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน