ครม.ไฟเขียวแก้กฎหมายเอสเอ็มอี จัดเงินกองทุนคุ้มครองเงินฝาก เข้ามาใส่กองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี ช่วยผู้ประกอบการมีแหล่งเงินทุนไปฟื้นฟูกิจการ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และร่างพ.ร.ฎ.กำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อช่วยหลือเอสเอ็มอีได้มีแหล่งเงินทุนไปประกอบกิจการ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ จะให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากนั้นจึงส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

สำหรับสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมเอสเอ็มอี ถือเป็นการแก้ไขกฎหมายฉบับเดิม โดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มประเภทเงินนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี ด้วยการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มีอำนาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินไม่เกิน 0.001% ต่อปีของยอดเงินฝาก แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าว กับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องไม่เกิน 1% ต่อปีของยอดเงินฝาก

ขณะที่ร่างพ.ร.ฎ.กำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก เป็นการปรับลดอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมาย ว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จากปัจจุบันที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตรา 0.01% ต่อปีของยอดเงินฝาก เป็นให้ลดอัตราเงินนำส่งลงเหลือ 0.009% ต่อปีของยอดเงินฝาก

“ปัจจุบันสินเชื่อคงค้างในระบบของธนาคารพาณิชย์ที่มาจากเอสเอ็มอี คิดเป็นจำนวน 34% หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท จึงสมควรมีมาตรการออกมาช่วยให้มีแหล่งเงินที่เหมาะสมเข้าไปช่วยเหลือ โดยจัดหาแหล่งเงินเข้าไปยังใส่ในกองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี ซึ่งการส่งเงินเข้าไปในครั้งนี้กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ปัจจุบันมีการส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากปีละ 1,280 ล้านบาท ถ้าแบ่ง 1 ใน 10 เข้ากองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอีจะเป็นเงินปีละ 128 ล้านบาท ขณะที่กองทุนคุ้มครองเงินฝากมียอดสะสมอยู่ที่ 123,544 ล้านบาท ดังนั้นจำนวนเงินก้อนนี้จะไม่เป็นภาระต่อกองทุน และผู้ฝากเงินก็ไม่มีภาระอะไรเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเงินที่เข้ามานี้ สามารถนำไปใช้ฟื้นฟูกิจการเอสเอ็มอี ที่เป็นลุกหนี้ของสถาบันการเงินต่อไป”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน