ยอดใช้สิทธิ FTA และ GSP ปี 61 ของไทย ทะลุเป้าเกือบ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งเป้าการใช้สิทธิ ปี 62 โตไม่น้อยกว่า 9%

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวถึงการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ตลอดทั้งปี 2561 ว่า มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯทั้งสองความตกลง รวมอยู่ที่ 74,335.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 76.95% ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 14.76%
โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 69,602.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,733.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยตลาดส่งออก ที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน (มูลค่า 26,890.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จีน (มูลค่า 17,633.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ออสเตรเลีย (มูลค่า 9,121.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ญี่ปุ่น (มูลค่า 7,565.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และอินเดีย (มูลค่า 4,466.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่าตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 37.36% รองลงมาคือ จีน ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 24.74% และอินเดีย มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 21.35% ซึ่งทั้ง 3 ตลาดดังกล่าวนอกจากจะมีอัตราการขยายตัวสูงแล้ว ยังพบว่ามีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงเช่นเดียวกัน ฃ

สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลี (98.85%) อาเซียน-จีน (88.57%) ไทย-ญี่ปุ่น (88.47%) อาเซียน-เกาหลี (87.19%) และไทย-เปรู (85.97%) รายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ตู้เย็น น้ำตาลจากอ้อย และทุเรียน

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP ที่ไทยยังคงได้รับสิทธิ GSP 5 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราชนอร์เวย์ และญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือประมาณ 90% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด อยู่ที่ 4,248.59 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง เครื่องดื่มอื่นๆ และเลนส์แว่นตา

ความคืบหน้าเกี่ยวกับการใช้สิทธิ GSP ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้ คือการให้สิทธิ GSP ของญี่ปุ่น จะหมดอายุลงตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 เป็นต้นไป ตามเงื่อนไขใหม่ของศุลกากรญี่ปุ่น ที่กำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงเป็นเวลา 3 ปี จะไม่ได้รับสิทธิ GSP ทุกรายการ
ซึ่งกรมฯ ได้แจ้งผู้ประกอบการเป็นระยะเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2559 โดยการตัดสิทธิ GSP ของญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อไทยน้อยมาก เนื่องจากรายการสินค้าเกือบทั้งหมดที่ใช้สิทธิ GSP ญี่ปุ่น สามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ทดแทนได้

ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ตลอดทั้งปี 2561 มีอัตรา ขยายตัวเพิ่มขึ้น 14% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กรมฯ ประมาณการไว้ที่ 9% หรือคิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกของไทย ที่มีการขยายตัวไปในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และการพัฒนาระบบการให้บริการของกรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในปี 2562 ทิศทางการส่งออกของไทย ยังมีแนวโน้มต้องเผชิญกับผลกระทบของสงครามการค้า การผันผวนของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของหลายประเทศ โดยเป้าหมายการส่งออกในปี 2562 น่าจะขยายตัวที่ 8% หรือคิดเป็นมูลค่า 272,685 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเบื้องต้นกรมฯ จึงได้ประมาณการเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ของปี 2562 ที่ 9% มูลค่า 8,1025 ล้านเหรียญสหรัฐ” นายอดุลย์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน