นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,219 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 25% คิดเป็น 445 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 1,774 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งผลการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ดี โดยบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,320 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน

โดย ณ สิ้นปี 2561 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 31,557.9 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 16,416 ล้านบาท ลดลง 7.4% เนื่องจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย โดย ณ สิ้นงวด อยู่ที่ 15,567 ล้านบาท ลดลง 8.6% จากสิ้นปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน หลังจากการจำหน่ายสินทรัพย์โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2561 จำนวน 2,028 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปี 2562 บริษัทมั่นใจยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยมีโครงการลมลิกอร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไตรมาส 2/2562 และโครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาดที่บริษัทได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เป็นผู้ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนพื้นที่หลังคากำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี 2562

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อเนื่อง ควบคู่กับการทำการตลาดกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงมากขึ้น เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงให้บริการการจัดการด้านพลังงาน นำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยปีนี้คาดใช้งบลงทุนสำหรับการขยายกิจการใหม่และโครงการที่มีอยู่เดิมรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,600 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน