นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังนำคณะนายยูซุฟ บิน อลาวี บิน อับดุลลาห์ รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านการต่างประเทศ เข้าร่วมงานโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารา และลงพื้นที่ศึกษาดูงานต้นแบบถนนยางพารา ณ จังหวัดฉะเชิงเทราว่า ไทยและประเทศรัฐสุลต่านโอมาน ร่วมกัน มุ่งต่อยอดงานวิจัยพร้อมผลักดันนวัตกรรมถนนยางพาราไทยสู่เวทีโลก

ทั้งนี้ โอมานมีความสนใจเทคโนโลยีการผสมยางสำหรับทำถนนของไทย เนื่องจากถนนลาดยางพารา เป็นนวัตกรรมงานวิจัยที่ไทยพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับยางพารา เพราะประเทศไทย มียางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจและผลิตมากที่สุดในโลก ถนนผสมยางพาราได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับชาติ ความโดดเด่นของการนำยางพาราผสมเพื่อทำถนนจะเป็นการเพิ่มคุณสมบัติการทนความร้อนได้มากกว่าถนนยางมะตอยปกติ และมีค่าความยืดหยุ่นและคืนตัวดีกว่า มีความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่มากกว่า ทำให้เหมาะสมกับประเทศในเขตร้อน

สำหรับความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ทางองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ระหว่างออกข้อบัญญัติในด้านงบประมาณ ซึ่งได้เริ่มครงการฯ ตั้งแต่ ก.พ.ที่ผ่านมา มีการใช้น้ำยางสดทำถนนไปแล้ว 30,000 ตัน หากดำเนินการไปสิ้นสุดก.ย.นี้ คาดว่าจะใช้ปริมาณน้ำยางสดไม่ต่ำกว่า 800,000 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังมีแผนซื้อน้ำยางสดมาปรับปรุงถนนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยางพาราภายในประเทศ อีก 40,000 ตัน ทั้งนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดส่งพารา โดยดำเนินการผ่านหน่วยธุรกิจของการยางแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรยางพาราอีก 32 แห่ง

ด้านนายถาวร ตะไก่แก้ว วิศวกรโยธาปฏิบัติการ กรมทางกลวง กล่าวว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงดำเนินการนำยางพารามาใช้ตามภารกิจทั้งหมด 4 โครงการได้แก่ โครงการฉาบผิวแบบพาราสเลอรี่ซิล (Para Slurry Seal) ใช้ฉาบผิวทางเดิมที่ลื่น เพื่อเพิ่มความฝืด และช่วยอุดรอยแตกกันน้ำลงได้ ป้องกันการเกิดออกซิเดชันของผิวทาง การฉาบผิวถนนแบบนี้จะสามารถเปิดการจราจรได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น คือ บ่มตัวเร็วและยังมีความทนทานกว่าการฉาบผิวแบบธรรมดาที่ไม่มีส่วนผสมของยางพารา

ทั้งนี้ ในการฉาบผิวถนนที่มีความหนา 5-10 มิลลิเมตร และมีความกว้าง 12 เมตร ใช้น้ำยางพาราข้น ประมาณ0.98 ตัน/กิโลเมตร โครงการแอสฟัลต์คอนกรีตปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติ เป็นการนำยางพารา มาใช้ในสัดส่วนร้อยละ 5 ของน้ำหนักของแอสฟัลต์ซีเมนต์ผสมเสร็จ ตามข้อกำหนด มาตรฐาน และ มอก. โดยคุณสมบัติและลักษณะเด่นของแอสฟัลต์คอนกรีตปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติจะมีความทนทานมากกว่าร้อยละ 20
เมื่อเทียบกับแอสฟัลต์คอนกรีตที่ใช้ AC 60-70 ซึ่งปริมาณการใช้ยางพาราสำหรับยางพาราร้อยละ 5 เพื่อปูผิวทางหนา 5 เซนติเมตร และถนนมีความกว้าง 12 เมตร จะใช้น้ำยางพาราข้นประมาณ 5.716 ตัน/กิโลเมตร โครงการนำยางพารามาใช้ก่อสร้างชั้นพื้นทางดินซีเมนต์ (Para soil cement) เป็นการนำยางพารามาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพวัสดุชั้นพื้นทาง ด้วยวิธีการเติมน้ำยางข้น และสารผสมเพิ่มในชั้นพื้นทางดินซีเมนต์ (ดินลูกรัง)
กระบวนการนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติโครงสร้างชั้นทางให้ดีขึ้น โดยอาศัยข้อดีของยางพาราเช่น ความคงตัวสูง ความยืดหยุ่นดี ทนความล้าดี มาเป็นตัวเสริมคุณสมบัติ สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของถนนโดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 เท่าของอายุการใช้งานเดิมช่วยประหยัดงบประมาณในการซ่อมบำรุงถนน

นอกจากนี้ โครงการผลิตภัณฑ์อำนวยความปลอดภัยจากยางพาราในภารกิจของกรมทางหลวง ซึ่งได้ทำบันทึกความตกลงร่วมกันระหว่างกรมทางหลวง และการยางแห่งประเทศไทย โดยกรมทางหลวงมีแผนการนำยางพารามาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ได้แก่ เสาหลักนำทางผสมยางพารา ใช้ยางแห้งประมาณ 2,049 ตัน กำแพงน้ำพลาสติก ใช้ยางแห้งประมาณ 2,205 ตัน และหลักนำทาง กม. ย่อย ใช้ยางแห้งประมาณ 660 ตัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน