น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมบีโอไอ (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติอนุมัติการส่งเสริมให้บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,130 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการในจังหวัดชลบุรี เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ และมีแผนพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐ

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการรถยนต์ไฟฟ้ารวม 9 โครงการ เป็น PHEV ของมิตซูบิชิ 1 โครงการ โครงการรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด(HEV) ที่เคยอนุมัติไปแล้ว 3 โครงการ โครงการรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ที่เคยอนุมัติไปแล้ว 1 โครงการ และอยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติโครงการ PHEV อีก 4 โครงการ รวมวงเงินลงทุน 51,550 ล้านบาท โดยอนุมัติลงทุนแบตเตอรี่ไปแล้ว 10 โครงการ วงเงินลงทุน 6,800 ล้านบาท

ส่วนความชัดเจนการส่งเสริมลงทุนนรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด (อีโค อีวี) นั้น เบื้องต้นได้หารือร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ 4 ค่ายแล้ว เพื่อรับฟังความคิดเห็นถึงทิศทางและความเป็นไปได้ในการการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดว่าภาคเอกชนมีความเห็นคิดอย่างไรจากนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปรากฎว่าเสียงตอบรับจากผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 4 ค่ายไม่สนใจลงทุนโครงการนี้

“ฟังจากเสียงของผู้ผลิตรถยนต์ 4 ค่ายแล้วค่อนข้างไม่ให้ความสนใจ บีโอไอจึงไม่มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนออกมาสนับสนุน และไม่แน่ใจว่าในอนาคตต้องมีหรือไม่ เพราะถ้าผู้ผลิตไม่ทำ บีโอไอก็ไม่จำเป็นต้องออกมาตรการแต่อย่างใด ฉะนั้นไม่สนใจก็จบ ต่อให้มีมาตรการส่งเสริมออกมาก็ไม่สนใจอยู่ดี จะออกไปเพื่ออะไร โดยผู้ผลิตยังสามารถรับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่แล้วได้”

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติหลักการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะเจ้าของสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนสำหรับกิจการที่ได้รับสัมปทาน ได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (ทั้งนี้ รวมกันไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) ทั้งนี้ รฟม. จะต้องระบุสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไว้ในประกาศเชิญชวน (ทีโออาร์) อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ประมูลทุกรายทราบโดยทั่วกัน

นางสาวดวงใจ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนปีนี้ยังคงเป้าหมายยอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 750,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 720,000 ล้านบาท แต่มียอดยื่นคำขอมูลค่ารวมมากกว่า 900,000 ล้านบาท แม้ช่วงปลายปีที่ผ่านมาการยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังให้ความสนใจโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ เพราะมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ อีกทั้งทิศทางการเข้ามาลงทุนได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นนักลงทุนในภูมิภาคเอเซียและอาเซียนด้วยกันมากขึ้น จากผลบวกที่จะมีการย้ายฐานการผลิตและลงทุนเข้ามาในไทยมากขึ้น จากผลพวงของสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเข้ามาลงทุนมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ การบิน? ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมถึงเศรษฐกิจชีวภาพทั้งด้านพลังงานและเคมีภัณฑ์

ขณะเดียวกัน บีโอไอยังเห็นชอบกำหนดพื้นที่เขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) สำหรับกิจการใดที่เป็นกิจการเป้าหมายในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ได้

โดยจะต้องยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการอีอีซี ภายในวันที่ 30 ธ.ค.2562 และย้ายไปตั้งอยู่ในเขตอีอีซีไอ ภายในวันที่ 30 ธ.ค.2565 ทั้งยังจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ถึง 4 ปี และบางกิจการจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปีเพิ่มเติมด้วย กิจการเป้าหมายที่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ บริการสอบเทียบมาตรฐาน สถานฝึกฝนวิชาชีพ กิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน