สทท. ปรับเป้าต่างชาติเที่ยวไทยเหลือ 40 ล้านคน เติบโตเพียง 4.6% จากเป้าเดิมโต 8% – ชี้ปมเศรษฐกิจฉุดท่องเที่ยวลดการลงทุน-บาทแข็งกระทบอาหาร เครื่องดื่ม สวนสนุก ส่วนคนไทยแห่เที่ยวเมืองนอก

หั่นเป้าต่างชาติเที่ยวไทย – นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า สทท. ปรับประมาณการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2562 ลงเหลือ 40.06 ล้านคน เติบโต 4.65% จากปีก่อนหน้าที่เติบโต 38.28 ล้านคน โดยมีรายได้ 2.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.23% จากปีก่อน จากประมาณการณ์เดิมจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีประมาณ 41 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8% สร้างรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9.36%

ไตรมาส 2 ปีนี้สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวน 9.09 ล้านคนเพิ่มขึ้น 2.48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8.87 ล้านคน สร้างรายได้ 482,947 ล้านบาท หรือ 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวน 19.89 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19.48 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีนยังเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเที่ยวไทยมากสุดอันดับ 1 โดยไตรมาส 2 ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวน 2.57 ล้านคนลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.63%

สทท. จึงขอเสนอให้ภาครัฐควรร่วมมือ ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านมาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และกิจกรรมการตลาดอื่นๆ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว สนับสนุนให้มีการศึกษาศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (carrying capacity) ให้ครอบคลุมในทุกขั้นตอนและทุกจังหวัด พัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งให้มีทางเลือกที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่วนผู้ประกอบการควรมีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบถึงผลประโยชน์ทางด้านภาษีที่นักท่องเที่ยวจะได้รับจากสถานประกอบการที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

นายวัชรพงศ์ รติสุขพิมล ผู้ช่วยคณะบดี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เท่ากับ 100 ถือว่าอยู่ในระดับปกติ และความเชื่อมั่นในระดับนี้ยังจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส สะท้อนสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างทรงตัวแต่ผู้ประกอบการยังมีความกังวลจากสภาวะเศรษฐกิจไทย แนวโน้มการท่องเที่ยวในประเทศที่ชะลอตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาสที่ 3 ปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.70 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.06% จากปีก่อน

ทั้งนี้ จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผูประกอบการไตรมาส 3 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงเป้าหมายผลประกอบการในไตรมาส 3 แต่มีแนวโน้มปรับลดแผนการลงทุนจากไตรมาสก่อน 32% จากไตรมาสก่อน 37% ทั้งนี้ ในไตรมาสหน้ามีผู้ประกอบการส่วนหนึ่งระบุว่าจะปรับเพิ่มราคาสินค้า โดยเฉพาะธุรกิจร้านขายของที่ระลึก 48% และธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม 47% ยกเว้นกลุ่มธุรกิจขนส่งที่ระบุว่าจะปรับลดราคาลง 49% โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการรถทัวร์

ส่วนผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ธุรกิจส่วนใหญ่ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบจาก 44% โดยมีบางส่วนระบุว่าได้รับผลกระทบทำให้ธุรกิจแย่ลง 31% และเมื่อจำแนกรายธุรกิจพบว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่นๆ (สวนสนุก ธีมปาร์ค) เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 44% และ 42% ตามลำดับ

น.ส.ทัศนีย์ เกียรติกำจรชัย เลขาธิการสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าในปัจจุบันได้ส่งผลบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยวขาออก (เอาต์บาวด์) หรือคนไทยเที่ยวต่างประเทศ เพราะจากการติดตามยอดจองในช่วงครึ่งหลังปีนี้ พบว่าคนไทยจองแพ็กเกจท่องเที่ยวไปประเทศตุรกีและยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และยุโรปตะวันออก มากขึ้น 10-20% หลังค่าเงินลีราตุรกี (Lira) ลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับ 6 ปีก่อน จาก 10-11 บาท เหลือ 5-6 บาทในปัจจุบัน และยังฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวไทย ทำให้บริษัทนำเที่ยวสามารถชูเป็นจุดขายได้ ส่วนค่าเงินยูโรก็ลดลงต่ำกว่าระดับ 35 บาทต่อ 1 ยูโร

ส่วนญี่ปุ่นยังถือเป็นจุดหมายที่ชาวไทยนิยมไปเที่ยวมากเป็นปกติอยู่แล้ว และคาดว่ากระแสการจองจะดีอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้ตลาดไทยเที่ยวญี่ปุ่นปีนี้มีแนวโน้มสูงถึง 1.2 ล้านคน มากกว่าสถิติ 1 ล้านคนของปีที่แล้ว จากปัจจัยการเปิดเส้นทางบินใหม่ เช่น กรุงเทพฯ-เซนได ของการบินไทยในปลายเดือนต.ค.นี้ และการเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) หลังจาก 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ของปีนี้ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจเอ็นทีโอ) รายงานว่ามียอดนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่นแล้ว 512,700 คน เพิ่มขึ้น 19.4%

“คาดว่าตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศปีนี้อยู่ที่ 10.8-11 ล้านคน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 10 ล้านคน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท หลังได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่า การกระจายของวันหยุดที่มีมากขึ้น”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน