น.ส.สมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กนอ. อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างการทำงานให้สอดรับกับกฎหมายที่เปิดกว้างรับการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ (สตาร์ตอัพ) หลังพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 5 พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2562 โดยกนอ. ยุคใหม่จะเน้นจัดตั้งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ ตามนโยบายที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายไว้

“เพราะรองนายกฯ เน้นย้ำว่าไม่ได้ต้องการให้กนอ. แข่งขันกับผู้พัฒนานิคมฯเอกชน แต่ให้เน้นสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพไทยให้แข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ กนอ.จึงมีแผนจะออกไปจัดตั้งนิคมฯ ในต่างประเทศ รองรับเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพไทยที่ต้องการออกไปลงทุน หรือทำตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านที่มีความต้องการบริโภคสินค้าไทยสูง ผ่านการจับคู่ธุรกิจกับนักลงทุนในประเทศ ใช้ดิจิตอลเป็นตัวเชื่อมโยง”น.ส.สมจิณณ์กล่าว

โดยการจัดทำงบประมาณประจำปี 2563 เบื้องต้น กนอ. ขออนุมัติงบด้านดิจิตอลเพิ่มขึ้นหลักร้อยล้านบาท ถือเป็นวงเงินที่สูงมากเมื่อเทียบกับงบประมาณรวมของกนอ. เพื่อวางระบบการให้บริการแก่นักลงทุนทั้งนิคมฯในประเทศ และนิคมฯ ต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ เพียงพอจะลดต้นทุนของนักลงทุนในกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพได้ ซึ่งกนอ. เตรียมแผนของบประมาณส่วนนี้นำเสนอให้รมว.อุตสาหกรรมคนใหม่ พิจารณาเร็วๆ นี้

สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาอาชีพให้กับชุมชนรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน แรงงานเกษียณ และผู้ที่อยากฝึกอาชีพ โดยกนอ.ตั้งเป้าหมายพัฒนาให้ได้ 1,800 คนภายในปีนี้ ขณะนี้พัฒนาแล้ว 1,000 คน โดยอาชีพที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ พนักงานรักษาความปลอดภัย รองลงมาคือ เสริมสวย สปา และเครื่องยนต์ ทั้งยังประสานกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)ในการออกใบรับรองผู้ที่ผ่านการอบรมจากกนอ. ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน