นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการเศึกษา อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ประยุทธ์ 2 ในช่วงจากนี้ ต้องระวังในการใช้นโยบายการคลัง อย่ามีการเปิดช่องให้มีการทุจริต เพราะมันจะเป็นบ่อเกิดของการลดทอนประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความยั่งยืนของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้มีหลายหน่วยงานปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษบกิจจาก 3.8% เหลือเพียง 3.2%

ทั้งนี้ 5 ปีที่ผ่านมาสมัยรัฐบาล ประยุทธ์ 1 มีการใช้นโยบายประชานิยมค่อนข้างมาก มาถึงประยุทธ์ 2 การใช้นโยบายประชานิยมจึงต้องระวัง เพราะถ้ามีนโยบายระยะสั้นต้องให้มีความรอบคอบ หากใช้แล้วมาตรการได้ผลแค่ระยะสั้นๆ แล้วหายไป ไม่ควรจะใช้ ต้องดูมาตรการที่เกิดความยั่งยืน

“ต้องคัดค้านการเปิดช่องว่างให้มีการทุจริต ผ่านนโยบายทางการคลัง การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ การส่งออก การค้ากับต่างประเทศ ความสามารถในการแข็งขัน และที่สุดจะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว การกระจ่ายรายได้ของประเทศระยะสั้นใช้นโยบายการคลัง เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น หากรัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องแก้ที่นโยบายที่แท้จริง อาทิ การปฏิรูปด้านการเกษตร การปฏิรูปด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น”

นายประสาร กล่าวว่า ขณะนี้หลายฝ่ายบอกว่าบาทแข็งไป อาจเกิดจากขณะนี้ฐานะทางการคลังของไทยยังดีอยู่ แต่รัฐบาลจะประมาทไม่ได้ เพราะรายจ่ายของประเทศมีสัดส่วนประมาณ 18% ของจีดีพี รายได้มีสัดส่วนประมาณ 15% ของจีดีพี และย้อนหลังไป 10 ปี รายจ่ายภาครัฐ เติบโตประมาณ 6% ของจีดีพี รายได้เติบโตประมาณ 5% ของจีดีพี รัฐบาลใช้นโยบายขาดดุลมาตลอด 10 ปี จากนี้ต่อไปต้องระวังให้มาก

ส่วนการดูแลค่าเงินบาทที่แข็ง เชื่อว่า ธปท. กำลังดูแลอยู่ จะผลักดันมาตรการการดูแลค่าเงินออกมาต้องมีเวลาที่เหมาะสม ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอาจเกิดจาก สถานะทางการเงินของประเทศยังดีอยู่ เงินสำรองมีค่อนข้างมาก นักการเงินหลายประเทศมองว่าค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ ส่งผลให้บาทแข็ง และทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการออกมาดูแลแล้ว โดยเน้นในรื่องของการไหลเข้าของเงินระยะสั้นเพื่อลดการเก็งกำไร ส่วนการดูแลในเรื่องของค่าบาทให้อ่อนค่าลง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน